ชีวิตคือการเดินทาง ค้นหา ตอบคำถาม และอีกหลายๆนิยามที่เราหลายคนคงได้ยินกันมา สุดท้ายแล้วแล้วแต่ละคนถ้าโชคดีก็นิยามชีวิตในอย่างที่ตนเองเป็น ถ้าโชคร้ายก็มีนิยามของชีวิตที่ต่างไปจากสิ่งที่ตนเองเป็น ในช่วงสงกรานต์ปี 2558 ผมมีโอกาสได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่ลดคุณค่าของการมีชีวิตลงเหลือเพียงเม็ดทรายเล็กๆในทะเลทรายโกบีในขณะเดียวกันยกคุณค่าของชีวิตเหนือสิ่งที่เม็ดทรายจ้อยๆพยายามให้คำนิยามเป็นหมื่นแสนเท่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นภายในและผมไม่แน่ใจว่าจะถ่ายทอดออกมาได้หรือไม่ แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผมจะเล่าให้ฟัง
ตั้งแต่วันที่รู้จักออแดกซ์ มุมมองของกิจกรรมของผมเปลี่ยนไปเรื่อยๆจากความท้าทายที่จะปั่นระยะ 200 กม. ในเวลาที่กำหนด ไปสู่การต่อสู้กับการอดหลับอดนอน การช่วยเหลือกันในรูปแบบของทีมในกิจกรรมที่ออกแบบให้เป็นเรื่องส่วนบุคคล การจัดการกับความสงสัยในศักยภาพและข้อจำกัดต่างๆ การเตรียมตัว เตรียมพร้อมและสัดส่วนของความไม่พร้อมที่ยอมให้เกิดขึ้นได้ ในวันที่ผมเริ่มรู้จักสิ่งที่เรียกว่า Paris-Brets-Paris ความคิดผมก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ผมเริ่ม plot เส้นทางจากปัตตานีไปกรุงเทพ ประมาณ 1000 กม. จากความคิดในการปั่นปีละ 500 ใน 8 วันทุกๆปีทั่วไทย กลายไปเป็น power ride 1000-1200 ในเวลาจำกัด แต่นั่นเป็นเพียงความฝัน ถึงแม้ว่าผมจะมีนิสัยไล่ล่าความฝันเพียงใดมันยังคงฝันไม่ใช่แผนการ

กระทั่งมีการจัดตั้งกลุ่ม Thailand Go PBP ขึ้น ผมหาข้อมูลและตัดสินใจไป PBP มีกลุ่มพี่ๆที่มาจากสายทัวริ่งคิดจัดการทดสอบปั่นจากกรุงเทพมายังหาดใหญ่เพื่อเข้าร่วม BRM300 Songkla รวมระยะทาง 1200 เศษๆ โดยจะกำหนดเวลาให้เหมือนกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่ PBP ผมไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมในทันที แต่เป็นครั้งแรกที่ผมไม่กล้าที่จะบอกใครจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย เมื่อมองในแง่ของความไม่สมเหตุสมผลแล้ว ผมคงไม่สามารถค้านความเห็นของทุกคนได้ การปั่นเต็มระยะ 1200 เพื่อเตรียมไปแข่ง 1200 เป็นเรื่องไม่จำเป็น นักกีฬาอัลตราทุกคนเข้าใจมันดี ไม่มีนักวิ่งอัลตราคนใดซ้อม 100 ไมล์เพื่อเตรียมแข่ง 100 ไมล์ ผมมาจากสายนักกีฬาซึ่งเข้าใจเรื่องนี้ดีว่าความเสี่ยงมันมากเกินกว่าผลลัพธ์ที่จะได้ เพื่อนที่สนใจความท้าทายของระยะทางก็เห็นว่าการปั่นแบบไม่มีกลุ่มเซอร์วิสอดหลับอดนอนในฤดูร้อนที่สุดของเมืองไทยนั้นไม่ได้เรียกว่าท้าทายแต่น่าจะออกไปทางสิ้นคิด แม้กระทั่งกลุ่มคนที่สนใจ power ride ระยะทางสุดประเทศยังให้ความเห็นว่าการปั่นแบบอ่อนล้าใน 7 วันที่อันตรายที่สุดในรอบปีของประเทศไทยมันไม่ต่างกับการกระโดดจากหอไอเฟลแล้วคาดหวังว่าจะรอดชีวิต มีเพียงกลุ่มที่เลือกออกเดินทางด้วยกัน 5 ชีวิต ที่เหมือนว่าจะต้องการทดสอบอุปกรณ์ และไปด้วย mindset ของทัวริ่งที่ยอมรับการปรับเปลี่ยนของแผนการปั่นในทุกชั่วโมง ผมเองเข้าใจความเสี่ยง ข้อเสีย และข้อจำกัดเหล่านี้ได้ดี แต่ในทุกการตัดสินใจมนุษย์เราย่อมสามารถหาเหตุผลมารองรับการตัดสินใจของเราได้เสมอ


สำหรับผมแล้วการปั่นจากบ้านที่กรุงเทพไปยังบ้านที่ภาคใต้มันเติมเต็มความฝันบางส่วนของนักปั่นจักรยานของผมพอควร การที่จะได้ทดสอบความรู้สึกของการอดหลับอดนอนแล้วปั่นให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้ว่าจะไม่ได้ผลดีทางกายภาพแต่ถ้าตั้งเป้าประสงค์ที่ถูกต้องย่อมสร้างผลดีทางจิตใจ ผมใช้มันมาตลอดในชีวิตนักกีฬาอดทนของผม การลองอุปกรณ์ ขนของที่คล้ายความจริงจะช่วยในการวางแผนสำหรับผมเองที่ไม่มีประสบการณ์ปั่นทัวริ่งมาก่อนเลย และสุดท้าย การใช้เวลากับตัวเองมันสร้างงานให้กับผมที่ใช้ผลจากความคิดเป็นหลักในการทำงานเป็นอย่างมาก และสุดท้ายสำหรับคนที่ใช้ชีวิตกับครอบครัว 24-7 อย่างผม การปล่อยให้แม่บ้านได้จัดการความเรียบร้อยในบ้านโดยไม่มีผมเป็นการฝึกฝนเป็นอย่างดีถ้าวันใดวันหนึ่งพวกเขาต้องใช้ชีวิตแบบนั้น การตั้งอยู่ในความไม่ประมาทย่อมเป็นสิ่งที่ดี


ต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ผมบันทึกไว้ทันทีหลังจากการปั่นสิ้นสุดลง เสริมเกร็ดเล็กน้อยที่ผมแทรกลงไปในวันนี้ จากแผน 1240 กม. 93 ชม. แต่ทำได้ 810 กม. 65 ชม. เกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมพยายามเตรียมชุดและอุปกรณ์ตามที่คิดไว้ รองเท้า MTB ใหญ่ขึ้นสองเบอร์ กระเป๋าหน้าหลัง ผมขนเสื้อผ้าไปสองชุด เสื้อจักรยานแขนสั้นและยาว และชุดนอนหนึ่ง ถุงเท้าสี่คู่ ปลอกแขนสอง ผ้าบัฟสองผืน Hi-Vis gillet อีกหนึ่ง เพื่อจำลองภาวะจริงที่จะต้องขนเสื้อกันลม กางเกงยาวและ thermal vest แทนชุดที่ขนมาเกินๆ ผมขน power bank 50000 mAh อุปกรณ์ชาร์จและของจิปาถะจากการเดินทางไปกรุงเทพหนึ่งคืนล่วงหน้า รวมๆแล้วน่าจะใกล้เคียงกับความจริงที่ PBP

Stage 1 BTS วุฒากาศ-ประจวบฯ 280km. เราออกตัวช้ากว่าที่วางไว้ 1 ชม. จากที่คิดไว้คือตีห้าแต่ BTS เปิดตีห้าที่สถานีปลายทาง ส่วนหน้าบ้านผมเปิด 5:30 ผมจึงได้ออกมายืนดูยามนั่งหลับหน้าสถานีอยู่ 10 นาที เมื่อไปถึงสถานีนัดหมายก็รอสมาชิก พี่เรืองชัยที่มาแนะนำตัวด้วยเงินบริจาค #ForZuri พร้อมของแถมจากภรรยาของพี่ อีกไม่นานนักก็ได้เริ่มออกตัวไปกันสามชีวิตพี่หมอป้อม ผมและพี่เรืองชัย เราต้องเปลี่ยนเส้นทางเล็กน้อยจากเส้นที่สมาชิกในกลุ่ม Thailand Go PBP ทำมาให้เพื่อไปรับสมาชิกที่ร้านข้าวแกงมหาชัยคือน้องเจี๊ยบ และถือโอกาสแวะกินอาหารเช้ากันเลย จึงเป็นโอกาสทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางทางอีกครั้ง แต่ละคนยื่นเงินบริจาคมาเต็มจำนวนเหมือนกับจะบอกว่างานนี้ไม่มีถอย เช้านี้ ฟ้าครึ้มมีละอองฝนบ้างตลอดครึ่งเช้าเนื่องจากมีพายุฤดูร้อนคลุมทั้งบริเวณตอนเหนือของกรุงเทพ เราทราบภายหลังว่ากรุงเทพฝนตกหนักมากแต่เราไม่เจอฝนระดับพายุ ช่วงนาเกลือที่ใครๆว่าร้อนโหด ลมแรง ไม่เป็นอุปสรรคมากอย่างที่กลัว ถือว่าโชคดี ช่วงบ่ายเริ่มร้อนปกติและเกินปกติ ผมกับเจี๊ยบหยุดรอเพื่อทานอาหารเที่ยงบริเวณที่เลยจากนาเกลือมาได้ไม่ใกล พี่หมอตามมาสมทบส่วนพี่เรืองชัยจอดกินล่วงหน้า เรารอจนพี่เรืองชัยตามมาแล้วออกตัวอีกครั้ง


ปั่นๆหยุดๆรอๆเพราะออกนอกเส้นทางเยอะ ไม่กล้าเดี่ยว บอกเป้าหมายต่อไปเป็นระยะๆ ช่วงบ่ายร้อนเหนื่อยปกติ โดยเฉพาะช่วงหัวหิน แต่เราไม่เร่งมากเพราะรู้ว่าวันรุ่งขึ้นคือของจริง เราหยุดกินเข้าเย็นแถวๆปั้มน้ำมันตอนประมาณ 6 โมงเย็นเพื่อรอให้ทีมด้านหลังตามมา ผมกับเจี๊ยบแม้จะปั่นไม่เร็วแต่ก็เร็วกว่าพี่หมอที่ทดลองขนแบบทัวริ่งเต็มรูปและพี่เรืองชัยที่คอยปั่นเป็นเพื่อน เราตัดสินใจมาจอดรออีกครั้งบริเวณทางเข้าประจวบฯ เพราะตำแหน่งโรงแรมดูสับสน ผมปั่น HR ต่ำ 130 แทบทั้งวัน เฉลี่ยแค่ 137 อยู่ในโซนสอง สมาชิกไม่ถนัดเนินต้องผ่อนรอทุกครั้ง กระเป๋าหน้าร่วงต้องแก้หลายครั้ง ปั่นไปยกไปหลายช่วง สุดท้ายเมื่อสมาชิกมากันครบเราปั่นหลงทางหาโรงแรมสักพัก ก่อนเข้าพัก แต่ผมต้องซ่อมกระเป๋าได้นอนห้าทุ่ม ตั้งปลุกตีสี่ครึ่ง. วันแรกได้ไป. 276.74 กม. แทบไม่เหนื่อยเลย ไม่เมื่อยด้วย เฉลี่ย 25.6 โดยประมาณ พี่เรืองชัยเสียสละให้ทุกคนไปอาบน้ำนอนก่อน ส่วนพี่อัปเดทให้กลุ่ม Thailand go PBP รับรู้ วันนี้ในเวลา 20 ชั่วโมงที่ตื่นผมใช้เวลาปั่นเพียง 12 ชม.


Stage 2 ประจวบฯ-สุราษฎร์ 360km. เรามีสมาชิกมาเพิ่มอีกหนึ่งในช่วงเช้าพี่หมอแอน ขับรถกว่าห้าชั่วโมงตามมาถึงที่โรงแรมประมาณเที่ยงคืน เซตอัปรถเป็นจาวามินิล้อเล็กแต่เป้ใหญ่มาก ระหว่างรอเราก็ตามหาพี่เรืองชัยที่มีคนเห็นครั้งสุดท้ายคือนั่งหลับอยู่ด้านล่างตอนเที่ยงคืน ประมาณตีห้าเป๊ะๆพี่เขาก็โผล่ามาเฉลยว่าเขาเปิดห้องเพิ่มเพราะไม่เอาชุดมาเปลี่ยนอยากนอนแก้ผ้า โอเคไม่ว่ากันเหตุผลฟังขึ้นเพราะถ้าผมตื่นมาเจอพี่นอนแก้ผ้าบนเตียงเดียวกับผมคงไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน เราออกสายไปครึ่งชั่วโมง แถวๆนี้ผมเคยมาแล้วจึงบอกให้พี่ๆเขาปั่นตาม จากประจวบวิ่งด้านในเพื่อไปออกเพชรเกษมแถวๆหว้ากอ เส้นทางดีในช่วงเช้ามืดหลังจากนั้นเมื่อออกเพชรเกษมมาแล้ว มีเนิน Rolling ตลอดทาง 1,3,5% สลับกันไป ผมค่อนข้างถนัดเพราะไม่ต้องใช้แรงมากใช้เทคนิคเยอะ สมาชิกโดนนวดน่วมตั้งแต่เช้า เริ่มมีหลุด กลุ่มเล็กพี่หมอและพี่เรืองชัยหลุดไปก่อน เพราะขนของหนักกว่าใครเพื่อน


วันนี้แดดเต็มๆ เจี๊ยบเริ่มออกอาการส่วนพี่หมอแอนไปเรื่อยๆเนิบๆ เราคุยกันว่าจะไปพักที่บางสะพาน ผมกับเจี๊ยบก็ปั่นไปเรื่อยๆจนกระทั่งพี่หมอแอนหายไป แต่ก็ยังไม่หยุด ปั่นไปเรื่อยสักระยะพบว่าน่าจะเลยบางสะพานมาได้สักพักแล้ว เราปั่นต่อเนื่องมากว่า 80 กม. เลยหยุดรอเพราะสมาชิกเริ่มไม่ไหว ร้อนตั้งแต่เช้า จอดกินแตงโมลูกนึงแบ่งสามคน. อร่อยมากกินไปเยอะแม้จะกลัวท้องอืดแต่ยอม แตงโมหวานๆในบรรยากาศร้อนตอนกระหายสุดๆนี่มันสุขใจจริงๆ เรารอกลุ่มหมอป้อม รอต่อไปร่วมชั่วโมงครึ่งเลยคิดว่าควรออกตัว เพราะคนที่ร้านแตงโมบอกว่ายังอยู่ห่างออกไปอีกกว่าห้ากิโล เราโทรแจ้งตำแหน่งกันเล็กน้อยก่อนที่จะบอกว่าจุดต่อไปคือเขาโพธิ์อาหารเที่ยง แต่ยังไปรอเป็นช่วงๆ เพราะเรารู้ว่าเราเริ่มปั่นช้าลงมากเพราะร้อนและเนิน บางช่วงมีหลุดเนื่องจากเนินและร้อนที่สลับกันตัดแรงของกลุ่มเราทั้งสามคน แต่ก็ต้องรอต่อเพราะคนเหลือแค่สามการทิ้งกันที่ระยะนี้แล้วลุยเดี่ยวอีก 260 กม. คงไม่น่าสนุกเท่าไรนัก


สุดท้ายเรามากินเที่ยงกันที่เขาโพธิ์ มารอจนทันกันที่เขาโพธิ์ กลุ่มเราเรียบร้อยแล้วจึงอาสาเฝ้าจักรยานให้พี่เขาไปหาอาหารมาทานกัน แต่พี่เขาตัดสินใจให้แยกกัน ณ จุดนี้เพราะเขาคิดว่าเส้นทางคงเป็นแบบนี้ไปอีกไกล เขาคงทำเวลาไม่ได้เช่นเคย สรุปครึ่งวันรอมาแล้วสามชั่วโมง ร้อนมาก เนินเยอะมาก จากเขาโพธิ์ก็ไปเรื่อยแต่เริ่มยิ้มไม่ออกเนินมันทำร้ายจิตใจพอๆกับแดด พี่หมอแอนเริ่มหลุดอีกครั้ง ผมกับเจี๊ยบก็ปั่นปั่นปั่นจนมาทราบว่าพี่เขายางแตกแล้วมีปัญหาจึงโบกรถล่วงหน้าจะไปรอแถวชุมพร เราสองคนปั่นร้อนกันจนมาถึงหน้าร้านคุณสาหร่าย เจี๊ยบจอดซื้อไอติมข้างทางผมบอกเจี๊ยบว่าพี่หมอบอกก่อนที่จะหลุดว่าเราจะมาพักกันที่ร้านนี้ น่าจะโทรถามพี่เขาว่าอยู่ที่ไหน ปรากฏว่าพี่เขามาซ่อมยางที่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ห่างออกไปเพียงสองร้อยเมตร


เราจึงเจอกันอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าปัญหาหลักคืออะไรเพราะทันทีที่ผมนั่งลงรอผมก็ผลอยหลับในทันที ไม่รู้ว่านานเท่าไรแต่หลังจากออกตัวด้วยกันอีกครั้งเราปั่นยาวกันจนหกโมงเย็นจัดการอาหารเย็นคราวนี้เป็นโจ้กเบาๆเพราะผมเริ่มมีปัญหากับระบบย่อยของผมมากขึ้นตลอดทาง หลังจากอาหารเย็นเรามองกันว่าคืนนี้คงไม่ได้นอนเราควรจะเก็บงีบสั้นๆไปเรื่อยๆระหว่างทางและแล้วทุกคนเริ่มของีบกันข้างทาง เมื่อออกตัว เราปั่นช้าลง หยุดบ่อยขึ้นและบ่อยขึ้นในช่วงกลางคืน สุดท้ายประมาณสี่ทุ่มเราได้ระยะทางมาประมาณ 260 กม. เราจึงขอพักงีบอีกครั้ง คราวนี้สมาชิกนอนตั้งแต่สี่ทุ่มยันเที่ยงคืน ผมแอบกินมาม่าและพยายามนอนแต่ไม่ค่อยหลับ จึงไปหยิบโน่นนี่นั่นมากินเรื่อย ๆ ฆ่าเวลา แต่เห็นว่าไม่ไหวแล้วจึงปลุกเพราะเหลืออีกร้อยกิโล ถ้าใช้เวลาห้าชั่วโมงจะได้อาบน้ำก่อนออกตัวตีห้าในวันรุ่งขึ้นพอดีที่สุราษฎร์ ทุกๆคนงัวเงียตื่นขึ้นมาเพื่อปั่นกันต่อไป แต่ไปได้ไม่นานเจี๊ยบขอจอดปรับตำแหน่งอานข้างทาง ส่วนผมขอตัวเข้าข้างทาง แต่ในช่วงเวลาที่ผมทำธุระอยู่นั้น ที่จุดที่เราหยุดบังเอิญเป็นโรงแรมพอดี สองสาวหันมาพูดพร้อมๆกันว่าเราน่าจะนอนกันที่นี่เพราะไม่ไหวกันแล้ว แต่ให้ทางเลือกผมที่จะแยกไปก่อน ผมคิดว่าถ้าผมหยุดวันนี้จะไม่มีวันไปทันที่หาดใหญ่ตอนตีห้า นั่นเท่ากับผมล้มเหลวในวันที่สอง ที่ระยะทางเพียงห้าร้อยกว่ากิโลเท่านั้น ผมจึงคิดว่าเราควรลองให้มันสุดทางเลยแยกกันไป ช่วงนั้นเนื่องจากผมเก็บขามาทั้งสองวันได้โอกาสเร่ง 28-30 ตลอดทางแวะที่ระยะประมาณ 50 กม. ผมลองดื่ม redbull extra เป็นครั้งแรกเพราะเริ่มเข้าใกล้ตีสาม ผมเคยหลับในที่เวลาประมาณนี้จึงอยากป้องกันไว้ก่อน แต่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ผมเกิดอาการใจสั่นอย่างรุนแรง ความเร็วที่เคยทำได้ในช่วงแรกต้องลดลงเพราะในตอนนั้นผมไม่มั่นใจว่าเกิดจากอะไร แดดที่ผ่านมาทั้งวันนี้ก็ถือว่าโหดร้าย ถ้าผมจะหัวใจวายตอนตีสามระยะทางรวม 500 กว่ากิโล ผมและทีมชันสูตรคงไม่แปลกใจกันเท่าไรนัก ผมผ่อนลงเยอะ ผมนับถอยหลังไปเรื่อยๆอย่างอดทน พลางคิดว่าเราจะนอนสักหน่อยโดยไม่สนใจเวลาออกเดิมคือตีห้าอาจจะออกหกหรือเจ็ดโมงตามแต่เวลาถึง แล้วผมก็ถึงสุราษฎร์ตีสี่นิดๆ ได้ระยะทาง 351.21 กม. โดยประมาณ ปั่นมา 14.5 ชม. ตื่นมากว่า 24 ชั่วโมง HR เฉลี่ย 132 ความเร็วเฉลี่ย 24 ผมตั้งเวลาเพื่อที่จะนอนสองชั่วโมงกะว่าจะออกหกโมงนิดๆ แต่ลงมาเห็นอาหารเช้าแล้วทำใจไม่ไหวต้องอยู่ต่อเพื่อหาอะไรเล็กน้อยทานก่อนออกตัวไป


Stage 3 สุราษฎร์-หาดใหญ่ 320km. ผมตื่นตีห้าสี่สิบตามที่ตั้งปลุกไว้กะจะออกหกโมงแต่คิดๆไปจำได้ว่าอาหารเช้าที่นี่ค่อนข้างดีแล้วเมื่อวานนี้อดอาหารปั่นตอนเช้าไม่สนุกเท่าไรนักเราน่าจะหาอะไรกินหน่อยดีกว่า อย่างไรก็ตามอาการมวนท้องยังไม่หายเลยจัดแค่ผลไม้และไก่ต้มขมิ้น ช่วงเชคเอาท์พนักงานสัมภาษณ์เล็กน้อย คงเป็นเพราะเห็นผมเข้ามาในยามวิกาลและออกตัวในเวลาไม่กี่ชั่วโมงถัดไป เขารายงานว่ายังไม่มีใครมาเชคอินท์เพิ่ม ทำให้รู้ว่ากลุ่มพี่หมอป้อมยังคงปั่นต่อไม่เลือที่จะมา reset ที่ตำแหน่งนี้ สุดท้ายกว่าจะออกตัวได้ 7:30 ช้ากว่าแผนชั่วโมงครึ่ง โรงแรมอยู่เลยโคออปมาแล้วเลยไม่รู้เรื่องไฟไหม้ที่เป็นข่าวฮือฮาในวันนั้นผมสังเกตว่าจักรยานสั่นและส่ายมากผิดปกติ และส่ายจนเริ่มคุมไม่ได้ขณะลงสะพาน แม้ว่าผมพยายามจะใช้มือขันถ้วยคอที่มักจะเป็นปัญหาจนแน่นที่สุดแล้วก็ยังไม่หายสั่น ผมจึงจอดดูเล็กน้อยพบว่าอาการถ้วยคอเหมือนเดิมจริงๆ แต่คราวนี้ไขให้แน่นด้วยมือไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องปั่นสั่นๆ ส่ายๆไปเรื่อยๆ จากการลงสะพานง่ายๆที่ทำความเร็วได้กลายเป็นการประคองตัวไม่ให้ล้ม ผมแวะแทบทุกปั้มเพื่อหาประแจเลื่อน แต่ยังเช้าเกินไป ในที่สุดโชคเข้าข้างอีกครั้งเมื่อพบว่ายางล้อหลังรั่ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเปิดเอาอุปกรณ์ปะยางใหม่เอี่ยมที่เพิ่งถอยมาสำหรับทริปนี้ยี่ห้อโปรดของผม Zefal กลับพบว่าผมไม่มีที่งัดยาง ชุดปะยางกล่องใหญ่ที่ซื้อมาใหม่ไม่มีที่งัดยางให้ตายซิ ปกติผมใช้มือเปล่าเปลี่ยนยางได้แต่กับล้อมาวิคคู่นี้มันแน่นมากแม้ว่าจะใช้ร่วมกับที่งัดยางก็ตาม หลังจากพยายามอยู่นานผมตัดสินใจใช้ไขควงงัดมันออกมา ขอบล้ออลูแตกและบิ่นเล็กน้อย ผมรีบหารอยรั่วแต่ไม่เจอ แต่จากตำแหน่งเมื่อวิเคราะห์คาดว่าน่าจะเกิดจากซี่ล้อจึงเลือกที่จะปิดเทปรองขอบล้อใหม่ทับลงไปเพื่อความปลอดภัย แต่มารู้ว่าเดี๋ยวนี้มันให้มาเผื่อต่างจากเมื่อก่อนที่พอดีเป๊ะกับรอบวงล้อ นั่นหมายความว่าผมต้องตัดปลายที่เหลือออก แต่ผมไม่มีมีดจึงจำเป็นต้องพับไว้ การติดตั้งยากลำบากเพราะแน่นล้อมากอยู่แล้ว พันขอบล้อให้หนาขึ้นก็ยิ่งแน่นขึ้นไปอีก อุปกรณ์ช่วยก็ไม่มี ในที่สุดก็มีหน่วยอาสาที่ขับรถตระเวณดูแลปัญหาช่วงสงกรานต์มาช่วยไว้ด้วยไขควงยักษ์งัดยางผมเข้าไป ผมขอบคุณแต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่าล้อผมคงมีปัญาหาแน่นอนทั้งจากการงัดออกและงัดเข้าในวันนี้ ผมเสียเวลาในการเดินทางสิบกิโลแรกหนึ่งชั่วโมง ปั่นออกตัวล้อเด้งๆ อยู่ช่วงหนึ่งน่าจะเป็นตำแหน่งของการพับผ้ารองขอบล้อ ผมไม่สนใจมันมากนักเพราะตอนนี้ผมมีปัญหาใหม่มาให้คิด
เมื่อปั่นมาได้สักพักก็พบว่าผมเงยหน้าไม่ได้ คอเมื่อย ล้า เหมือนจะเป็นตะคริว จนต้องจับด้านบนและยืดตัวตรงตลอดเวลา แต่ไม่นานมันก็เริ่มสูงไม่พอ ผมตัดสินใจเอาไฟหน้าออกแล้วใช้เสาติดไฟหน้ามาเป็นตำแหน่งจับที่สูงขึ้น แต่ที่ตำแหน่งนี้มีทอร์คในการเลี้ยวที่น้อย ความสามารถในการควบคุมต่ำและห่างจากเบรค ทำความเร็วไม่ได้ทั้งพื้นราบและลงเนิน หลังจากพยายามคิดอยู่นานผมจึงตัดสินใจไขแฮนด์หงายขึ้น นับว่าเป็นความโชคดีที่ผมเปลี่ยนไปใช้สับถังเพราะไม่เช่นนั้นการหงานแฮนด์คงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่านี้อีกมาก หลังจากนั้นผมก็ปั่นคอส่ายๆไปเรื่อยๆ จนได้อู่ซ่อมรถข้างทาง ผมยืมประแจเลื่อนไขถ้วยคออัดแน่นไว้ก่อน เพราะไม่มี spaner ที่จะมาคอยรั้งระยะอัดของถ้วยคอ ด้วยความคิดที่ว่าแน่นไว้ก่อนปลอดภัยกว่าแม้ว่าสุดท้ายลูกปืนอาจจะเสียหายหรือถ้วยคอเสียหายจนต้องเปลี่ยนทั้งยวง สรุปแล้ว 35 กม. แรกของวันนี้ผมใช้เวลาไปสามชั่วโมง


ผมตัดสินใจหยุดกินเช้าที่ร้านข้าวแกงข้างทางที่น่ารักมากๆ นอกจากอาหารอร่อย ห้องน้ำสะอาด น้ำ กาแฟฟรีแล้ว ยังมีเตียงนอนให้ผมเมื่อผมขอล้มตัวที่พื้นหญ้าหน้าร้าน ผมถือโอกาสนอนพัก 15 นาที เมื่อออกตัวหลังจากนั้นผมจึงเร่งได้นิดหน่อยเพื่อให้ได้ 60 กม. ช่วงเที่ยงที่เวียงสระ ช้ากว่าเป้าที่วางไว้คือทุ่งสงตอนเที่ยงไปร่วมสี่สิบกิโล จุดพักเป็นที่หยุดรถทัวร์ผมกินอาหารเที่ยง เติมน้ำอีกครั้ง ในเวลาต่างกันไม่ถึงสามชั่วโมง เจอพี่หมอแอนเลยรู้ว่าคนอื่นๆ กำลังตามมา กลุ่มพี่หมอป้อมเริ่มออกปั่นตั้งแต่ตีสาม มารับสาวๆที่โรงแรม และกำลังจะเข้าสุราษฎร์กัน ส่วนพี่หมอแอนต้องการปั่นสามร้อยสงขลาจึงคิดว่าควรกลับไปรอที่หาดใหญ่ดีกว่า ผมออกจากเวียงสระประมาณบ่ายโมงครึ่งแต่กว่าจะถึงทุ่งสงก็สี่โมงเย็น ช่วงนี้โหดร้ายมากเนิน 3-5% ตลอดทาง ร้อนและไม่มีปั้มเลย น้ำผมร่อยหรอ ใช้ได้แต่น้อยกินบ้าง แต่ต้องราดขาส่วนใหญ่เพราะร้อนมาก ถ้าไม่ราดจะปั่นไม่ค่อยได้เลย ผมหยุดอีกครั้งเพื่อหลบแดด หาน้ำเพิ่ม ถือโอกาสกินอีกทื้อเพราะเข้าใกล้มื้อเย็นเต็มที หลังจากนั้นนอนพักไปอีกครึ่งชั่วโมง เริ่มออกตัวหลังจากกินขนมหวานง่ายๆ อีกที


ผมกัดฟันปั่นไปเรื่อย ด้วยน้ำเพียงสองขวดใช้กิน ราดตัวและขามาเรื่อย ๆ ก็ไม่มีปั้มให้หยุดพักเลย จนมาเจอร้านกาแฟแถวๆ แยกสวนผักชื่อร้านวอลแตร์ ตอนหกโมงห้าสิบโชคดีมากๆเพราะร้านจะปิด ตอนทุ่มนึง ตอนนี้แดดหายหมดแล้ว ผมเริ่มง่วงหาวบ่อยขึ้น ร่างกายยังคงร้อนและต้องการราดน้ำอยู่ตลอด หลังจากกาแฟหมดผมก็ไปต่อไป ทุกอย่างที่ไม่เกิดในวันก่อนก็ค่อยๆก่อตัว ขาหนักเร่งความเร็ว 20kph. ยากลำบาก ง่วงหาวตลอดทางแต่ไม่สามารถหากาแฟเพิ่มได้ตามต้องการ ร่างกายร้อนทั้งๆ ไม่มีแดดอีกแล้ว ผมต้องราดน้ำบนตัวและขาเรื่อยๆ เพื่อลดความร้อน ผมนับกิโลไปเรื่อย ๆ รอให้ถึงพัทลุงเพราะจะมีร้านอาหารใหญ่ที่คุ้นเคย จนสุดท้าย กม. ที่ 193 ของวัน อีกเพียง 7 กม. ก่อนถึงพัทลุงก็มีคนโบกให้เข้าข้างทาง ปรากฏว่าเป็นกลุ่มพี่หมอป้อมขึ้นกระบะกันมาจากเวียงสระกะเข้าหาดใหญ่เพื่อไปปั่น 300 ผมเหลืออีก 120 กม. ตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มคาดว่าจะถึงหาดใหญ่ตอนตีสาม ตั้งใจไว้ว่าจะออกปั่นหกโมง สายกว่าคนอื่นหนึ่งชั่วโมงเพื่อนอนเพิ่มขึ้น แต่ในตอนนั้นร่างกายบอกผมว่ามันได้เวลาพักแล้ว ความร้อนที่ขึ้นไม่ยอมลง สภาพคอและรถที่ทำความเร็วไม่ได้ ความต่อเนื่องที่สูญหายไป ผมขึ้นรถแล้วบอกทุกคนว่าผมคงลง 300 ไม่ไหวแล้วเพราะ dehydrated มากและถ้าร้อนอีกวันอาจจะเกิด heat stroke ได้ หลายๆคนบ่นเสียดายแต่เข้าใจเป็นอย่างดี วันนี้ผมปั่นมาได้ 193.73 กม. ผมตื่นมาแล้ว 15 ชม. ปั่นทั้งหมด 8.5 ชม. เท่านั้นความเร็วเฉลี่ย 22.6 หัวใจเฉลี่ย 133 ผมอาสานั่งหลังกระบะเพราะคิดว่าผมอยากล้มตัวลงนอน ช่วงระยะทางร้อยกว่ากิโลรถยนต์ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ผมหลับไปจริงๆและยาวจนถึงไดอาน่า หาดใหญ่ เราแยกย้ายกันไป เพื่อนอนพัก


วันรุ่งขึ้นแม้ว่าผมตื่นไม่สายมากประมาณ 7 โมงเข้านอนได้ตอนเที่ยงคืน ร่างกายไม่บอบช้ำมากนักแต่ขาดน้ำยังฉี่ไม่ได้และตัวยังร้อนอยู่ พี่หมอแอน เจี๊ยบและพี่เรืองชัยออกปั่น 300 กันต่อซึ่งทำให้ระยะทางรวม 1000 กม. 83 ชม. ในขณะที่ผมทำได้เพียง 821.68 กม. เวลารวม 65 ชม. ผมพยายามเติมน้ำทั้งวันและสรุปเรื่องอุปกรณ์ที่ได้เรียนรู้มา ผมออกไปเล่นน้ำกับลูกเพื่อลดความร้อน พร้อมหาอะไหล่จักรยานที่ต้องเปลี่ยนเพิ่มเติม ผมอยู่รอจนน้องชายปั่นเข้าเส้นเพื่อดูผลจากรองเท้าและบันไดที่ยืมผมไปเมื่อคืนนี้หลังจากรู้ว่าผมจะไม่ออกปั่น เหมือนว่าน้องก็มาช่วยให้การงด 300 ของผมง่ายขึ้นเพราะต้องยืมรองเท้าและบันไดของผมไปใช้เนื่องจากลืมเอารองเท้ามาจากบ้าน อย่างไรก็ตามสามวัน 65 ชม. 821.68 กม. จบลงอย่างเรียบง่าย ล้มเหลวแต่เรียนรู้ อีกสองสัปดาห์ BRM300+ BRM200 ระยองรอผมอยู่ครับ ไม่มีเวลาเสียดาย มีแต่เวลาแก้ไข ซ่อมแซมรถ ร่างกายและเดินต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นในสามวันนี้ค่อยๆซึมลงไปในใจของผม ผมเริ่มรู้จักเส้นทาง จังหวัด ประเทศ อย่างที่ไม่รู้จักมาก่อน ในช่วงยี่สิบกิโลเมตร ผมใช้เวลาอยู่กับมันชั่วโมงนึงเต็มๆ เนินที่สัมผัสด้วยกล้ามเนื้อขา ความร้อนของแดดสัมผัสด้วยรูขุมขน กลิ่นรอบๆตัวที่สัมผัสผ่านจมูก แต่ละตำบล อำเภอ จังหวัดคืบอย่างช้าๆ ความเข้าใจในศักยภาพและข้อจำกัดของตัวเอง ทั้งกายภาพและจิตใจ เป็นประสบการณ์ง่ายๆ ราคาไม่แพง ที่คุ้มค่าหาอะไรทดแทนยากจริงๆ
สุด ๆ เดี๋ยวเจอกันที่ 300 ระยองครับ