กิจกรรมบันเทิงในวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ ทั้งในรูปแบบกิจกรรมและชื่อกิจกรรม แต่ความน่าจดจำไม่แพ้เรื่องราวอื่น ๆ ในชีวิตของผมเลยทีเดียว จริง ๆ แล้วชื่อกิจกรรมนั้นเกิดจากความรู้สึกจากก้นบึ้งของจิตใจของผมในระหว่างทำกิจกรรมนั้นอย่างไม่มีคำอื่น ๆ ใดจะสามารถมาทดแทนได้ เขาใหญ่ทรมานบันเทิงนั้นประกอบด้วยกิจกรรมหฤโหดต่อเนื่องกันสองวัน ในวันแรกคือการแข่งขัน The Northface 100 ที่ผมเข้าร่วมในระยะ 50km และวันที่สองคือการปั่นจักรยานข้ามเขาใหญ่จากด่านปากช่องไปยังด่านปราจีนฯและย้อนกลับมายังด่านปากช่องอีกครั้ง ระยะทางรวมตามเป้าหมาย 110Km แต่ไม่น่าเชื่อว่ากิจกรรมที่ใช้เวลารวมกว่า 20hr แบบนี้ เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ
The Northface 100 : Struggling to the finish line
ก่อนที่จะอ่านเลยไป โด่งได้ทำคลิป Teaser เอาไว้ให้ดูตรงนี้ครับ
ผมเคยร่วมแข่งขันในรายการนี้ครั้งแรกในปีที่ผ่านมาในระยะทาง 25km ด้วยเวลาที่น่าพอใจ วิ่งบนเส้นทางป่าเขาด้วย Vibram Fivefingers การท่องเที่ยวพักผ่อนในพื้นที่เขาใหญ่ สร้างบรรยากาศที่มีความสุขที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมคงกลับไปอีกครั้ง แต่ในปีนี้กลับเป็นเพชร สมาชิกเซเลปรายล่าสุดของทีมเราสมัครเข้าร่วมรายการเป็นคนแรก แล้วอ้างว่าเป็นผลจากการสะกดจิตจากผมที่เป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งของทีม V40 ของเรา ผลจากการสมัครของสมาชิกมือใหม่ที่เพิ่งเพิ่มระยะวิ่งเป็น half marathon เป็นครั้งแรกสร้างแรงกดดันให้ผมมากเพียงพอที่จะทำให้ผมมีความสนใจที่จะสัมผัสกับระยะ 50Km เป็นครั้งแรกของชีวิต ผมจึงวางแผนชวนโด่ง ตุ๊ และหมอนก สามคนที่ผมมั่นใจว่าจะไม่ปฏิเสธผมแน่ ๆ แม้ว่าผมจะต้องใช้การหลอกล่อเรื่องการถ่ายวีดีโอเข้ามาเพื่อให้โด่งตัดสินใจ แต่ลึก ๆ ผมก็รู้ว่าโด่งก็อยากจะลองสัมผัสระยะทางนี้ร่วมกับเพื่อน ๆ เช่นกัน หลังจากที่ทุก ๆ คนที่กล่าวมาจะผ่านระยะ 42.195 km มาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก (ยกเว้นตุ๊ที่ผ่านมาแล้วหลายครั้ง) ในวันแข่งที่จะถึงนั้นมีเพียงผมที่จะมีความพร้อมน้อยที่สุดเนื่องจากไม่เข้าร่วมแข่งขันกรุงเทพมาราธอนร่วมกับคนอื่น ๆ
เมื่อเวลาการแข่งขันใกล้เข้ามา ผมเริ่มการซ้อมค่อนข้างช้าเนื่องจากพักผ่อนจากรายการหลักอย่าง Challenge Phuket ผมวางแผนซ้อมไม่กี่สัปดาห์ล่วงหน้าแต่จากประสบการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น ผมก็สามารถทำระยะ 30km ได้ถึงสองครั้งระหว่างการซ้อม อย่างไรก็ตามก็มีเรื่องน่ากังวลใจที่เกี่ยวกับหลังของผมเล็กน้อย เพราะหลังจากระยะทางประมาณ 25K หลังของผมจะมีอาการตึง ๆ เล็กน้อย ผมจึงเจตนายกเว้นระยะ 40km ที่วางแผนไว้ในตารางซ้อม และตั้งเป้าหมายการวิ่ง 50Km ครั้งนี้แบบเบา ๆ โดยใช้ระบบ Run-Walk ซึ่งผมเริ่มเอามาใช้ตั้งแต่ในการซ้อมยาวที่ระยะ 30km ทั้งสองครั้ง ผมทดลองทั้ง 2:30/1:00 และ 4:00/1:00 ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี จากประสบการณ์ในสนามปีที่ผ่านมาผมคาดว่า Run-Walk 4:00/1:00 ที่ pace 6 น่าจะเป็นไปได้
ในการแข่งขันครั้งนี้มีอุปกรณ์ภาคบังคับหลายชิ้นที่ผมต้องจัดหามาใหม่ ตั้งแต่เป้น้ำ 2L และไฟฉายคาดหัว ซึ่งผมถือโอกาสทำการทดสอบชุดและอุปกรณ์ทั้งหมดในการซ้อมยาวครั้งสุดท้ายของผมเรียบร้อยแบบไม่มีปัญหา เรานัดเจอกันในวันลงทะเบียนเพื่อไปฟัง race briefing ซึ่งผู้บรรยายค่อนข้างขู่เอาไว้เยอะ ผมเองไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะคุ้นเคยว่าผู้บรรยายคนนี้พูดจาเกินจริงเสียส่วนใหญ่ เช้าวันแข่งผมเตรียมอาหารและอุปกรณ์มาที่จุดเริ่มต้นตั้งแต่ตีสี่ แต่สภาพเส้นทาง การจอดรถ และความยุ่งเหยิงของจุดเริ่มต้น กับสิ่งที่ไม่ตรงกับที่ผู้บรรยายได้นัดแนะเอาไว้ ทำให้ผมไม่มีเวลาที่จะวอร์มเรียกเหงื่อเล็ก ๆ อย่างที่ผมต้องการ เมื่อถูกเกณฑ์เข้าเส้นสตาร์ทผมจึงพยายามหาเพื่อนร่วมทีมเพื่อที่จะร่วมถ่ายรูปและออกวิ่งไปด้วยกันอย่างน้อย ๆ ในระยะเริ่มต้น เมื่อเสียงปล่อยตัวดังขึ้นเราก็ค่อย ๆ คืบคลานออกไปในความมืด เป็นครั้งแรกที่ผมวิ่งในสภาวะมืดสนิท อาศัยเพียงแสงไฟจากไฟฉายที่อยุ่บนหัว ทำให้เข้าใจว่าการทำงานของระบบร่างกายมันน่าพิศวง ประกายไฟช่วงสั้น ๆ ที่กระทบพื้นส่องสว่างพื้นที่เล็ก ๆ เบื้องหน้าระยะเวลาเพียงพอที่จะให้สมองจดจำเพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งการวางเท้า ก้าวแล้วก้าวเล่า นักวิ่งเทรลระดับโลกที่ชอบซ้อมกลางคืนได้เคยกล่าวว่า ในการวิ่งตอนกลางวัน เขามองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แต่ในเวลากลางคืนนั้นเขาเห็นเพียงเบื้องหน้าระยะเพียงพอให้เท้าเขาสัมผัสพื้นเพียงเท่านั้น ทำให้เขามีสมาธิในการวิ่งและให้อารมณ์วิ่งของเขามากกว่าที่กลางวันจะให้ได้ ผมเริ่มเข้าใจคำพูดของเขา เราวิ่งเพลิน ๆ ตามความเร็วที่ผมกำหนดเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มีหลงทางกันบ้างพอให้ได้ตื่นเต้น ก็อย่างว่า เรามองอะไรไม่เห็น ได้แต่วิ่งตามคนข้างหน้าไปอย่างไม่ต้องคิด ระยะทาง 12km แรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงแรกนั้น แม้ว่าโด่ง หรือตุ๊ เองจะมีบ่นบ้างว่าวิ่งสี่นาทีเดินหนึ่งนาทีดูเหมือนว่าจะเหนื่อยนะ เปลี่ยนเป็นวิ่งหนึ่งเดินสี่จะดีหรือเปล่า แต่ทุกคนก็บ่นแบบทีเล่นทีจริง คงมีเจตนาจะหยอกล้อผมที่ทำหน้าที่คุมเวลาให้ทีมของเราทั้งสี่คน ตั้งแต่ กม. ที่ 10 เป็นต้นมาเส้นทางเริ่มเป็นการขึ้นเขาเรื่อย ๆ มีวิ่งลงบ้าง โด่งเริ่มบ่น ๆ ว่าเจ็บเข่า เหมือนกับทุก ๆ ครั้งในช่วงหลังที่โด่งบ่นเจ็บเข่าในช่วงซ้อม แต่สัญญาณที่ไม่ค่อยดีเริ่มเกิดขึ้นกับผม หลังผมเริ่มรู้สึกตึง ๆ แปลบ ๆ บริเวณหลังล่างด้านซ้าย ขณะวิ่งลงเขา แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะยังไม่ทันรู้สึกชัดก็ถึงจังหวะเดินของเรา บางครั้งจังหวะวิ่งที่เป็นเนินเสียส่วนใหญ่ที่ระยะนี้ผมก็ไม่รู้สึกเท่าไรนัก ผิดกับโด่งที่บ่นเจ็บเข่าถี่ขึ้นทุกทีทุกที และเริ่มร้องขอให้หยุดเดินก่อนที่จะครบสี่นาทีตามที่เราตกลงกันไว้ ตุ๊เริ่มล้อว่าโด่งต้องการที่จะ “โด่ง” หรือไม่ ตามศัพย์แสลงของทีมสำหรับคำว่า DNF แต่โด่งยังสามารถกัดฟันตามพวกเราไปได้เรื่อย ๆ
แต่ในที่สุดประตูสู่นรกก็ได้แง้มเปิดขึ้นเมื่อถึงจังหวะวิ่งอีกครั้ง แต่ผมกลับเจ็บแปลบจากหลังส่วนล่างพุ่งขึ้นกลางแผ่นหลังแล้วร้าวลงขา ผมต้องหยุดในทันทีพร้อมอุทานว่า “เห้ย วิ่งไม่ได้แล้วว่ะ” เพื่อน ๆ ไม่ค่อยเห็นผมบ่นเท่าไรนัก ได้ยินดังนั้นจึงบอกว่าให้เราเดินสักพักก่อนมั้ย ผมจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นเดินเร็ว และคอยสำรวจเป็นพัก ๆ ว่าผมเริ่มเหยาะได้หรือยัง แต่ดุเหมือนว่าอาการเจ็บจะเกิดทุกครั้งที่มีการกระแทกของเท้าลงบนพื้น และจะค่อนข้างเจ็บมากเมื่อต้องลงเขา ในเวลานี้ตุ๊เริ่มแซวบ่อยขึ้นว่าจะ “โด่ง” กันมั้ย ที่ CP ถัดไประยะ 20K ผมไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจผมคิดเหมือนทุกครั้งที่เกิดปัญหาระหว่างแข่ง และคงเหมือนกับหลาย ๆ คน คือ ถ้าเราเลิกตอนนี้ ความเจ็บปวดนี้ก็จะจบสิ้นลง ผมตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนทุกครั้ง แต่ผมไม่เคยให้คำตอบนี้กับตัวเอง ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาในกีฬาคนอึด และผมบอกตรงนี้เลยว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ผมมั่นใจว่าการแข่งขันครั้งนี้คงจบลงแล้ว ผมไม่สามารถวิ่งได้อีกแน่นอนในวันนี้ มันอยู่ที่ผมจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อถึง CP 20k
ณ เวลานั้น ผมเริ่มเปรย ๆ กับเพื่อน ๆ ว่าผมน่าจะวิ่งไม่ได้แล้ว คิดว่าทิ้งผมกันไปก่อนได้ แต่ผิดคาด จากความเร็วที่เราทำมาก่อนหน้า กับเส้นทางที่ค่อนข้างจะเป็นเขาสูงชัน ณ เวลานั้น ไม่มีใครตอบอะไร หมอนกบอกว่าหลังเป็นเรื่องสำคัญอย่าฝืน ให้เดินก่อนดีกว่า ส่วนโด่งดูเหมือนจะโล่งใจ แล้วก็บอกว่ากูขอเดินก่อนเจ็บเข่า ส่วนตุ๊เองก็ดันมาบ่นเจ็บขา (มุขเดิม ๆ ซะงั้น) ยังไม่มีใครตัดสินใจทำอะไร ผมได้แต่เดินเร็ว ๆ ไม่ช้าไม่นานแสงสีทองก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นลับ ๆ ขอบฟ้า พวกเราค่อย ๆ เห็นทุ่งกว้าง เวิ้งว้างอยู่กลางหุบเขา ทุกคนลืมความเจ็บปวด และกิจกรรมที่ทำอยู่ชั่วขณะ กุลีกุจอ ควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป โพสเฟส โพส IG กันอย่างอิ่มหนำ ผมนอกจากจะทำการถ่ายรูปด้วย iPhone แล้วยังถือโอกาสเอากล้อง GoPro ออกมาบันทึกภาพเคลื่อนไหวอีกด้วย เราเดินร่วมกันขึ้นเขาช่วงที่สูงชันที่สุดประมาณ กม. ที่ 14 ภาพของกลุ่มคนจำนวนมากเดินเรียงกันขึ้นภูเขาที่ส่วนใหญ่เป็นหิน มีซากการถูกเผาทำลาย ไม่แน่ใจว่าเกิดจากฝ่ายจัดการแข่งขันหรือไฟป่าธรรมชาติ มันช่างดูดุเดือด โหดร้าย เราเสียเวลาบนยอดเขาลูกนั้นอีกพักใหญ่เพื่อเก็บภาพร่วมกัน หลังจากลงเขาลูกนั้น เราก็ไม่พูดถึงเรื่อง “โด่ง” กันอีกเลย เราทั้งหมดคงตองมนต์สะกดของเขาใหญ่เข้าให้เสียแล้ว
หมอนกหลังจากที่ใช้เวลาเดินกับเรามาร่วมชั่วโมง เมื่อฟ้าเริ่มเปิด เส้นทางเริ่มกว้าง เราก็เห็นหลังหมอนกเป็นครั้งสุดท้าย มันช่างเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับผม ในทุก ๆ คราวที่ผมมีปัญหาบาดเจ็บ ไม่สามารถบังคับร่างกายได้อย่างที่หวัง ก็มีเพื่อนคนนี้แหละที่วิ่งนำแบกเอาความฝันของผมไปให้ ภาพเจนตานี้ค่อยห่างไปทีละก้าวละก้าว ผมรู้แน่ว่าวันนี้จะมีใครบางคนในทีมของเราที่ไม่ “โด่ง” อย่างแน่นอน ส่วนที่เหลือนะเหรอ ไม่มีใครทำท่ากระดิก ไม่มีใครบอกลา และไม่มีใครตาละห้อย ราวกับว่ารู้ชะตากรรมของตัวเอง และฝากวิญญาณของเขาไปกับร่างเล็ก ๆ ร่างนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานี้แต่ละคนเริ่มหยิบคว้าเอาท่อนไม้มาทำไม้เท้ากันแล้วค่อย ๆ เดินกันต่อไป ต่างก็เปรย ๆ กันว่ามีไม้นี่มันช่วยได้เยอะเลยนะเนี่ย ส่วนผมเองหาไม้ที่ถูกใจไม่ได้เสียที จนกระทั่งตุ๊ยกไม้ของเขามาให้ผม มันเข้ามือผมอย่างมาก และผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะอยู่ร่วมกับผมจนกระทั่งเข้าเส้นชัยในวันนั้น
ในตอนนี้ตุ๊ไม่บ่นเจ็บอีกแล้ว บ่นแต่ว่าถ้าเราเดินกันแบบนี้คงไม่ถึงกันง่าย ๆ แน่ ลองวิ่งกันดูหน่อยมั้ย ผมลองดูหน่อยตามที่ว่า แต่ตุ๊กลับบอกกลับมาว่าขอให้หยุดเหอะ ดูแล้วน่าเกลียดกว่าเดินเยอะเลย และแล้วเราก็เดินกันต่อไปเพื่อเข้า CP 20k ไม่มีใครเอ่ยถึงการ “โด่ง” ผมไปหาอาหารกิน เพราะทางผู้จัดบอกว่าจะมีกล้วย แต่บังเอิญที่เราเดินกันเร็วไปหน่อย กล้วยที่เตรียมไว้จึงสุกไม่ทัน ผมหยิบแตงโมกินหลายชิ้น ยืนยืดเส้นสาย บรรเทาความเจ็บปวดที่หลังของผมที่ตอนนี้นั้น ไม่สามารถก้มลงได้แม้แต่น้อย ผมพยายามถอดรองเท้าเพื่อที่จะขจัดกรวดทรายที่หลุดรอดเข้าไป ในใจก็คิดถึงว่าทำไมมีหลาย ๆ คนใส่ปลอกคลุมรองเท้าเอาไว้ ผมกรอกน้ำเพิ่มลงในเป้น้ำของผม ไฟฉายถูกเก็บลงกระเป๋าไปนานแล้ว ผมแอบมองดูถุงอาหารที่ผู้จัดวางไว้ พยายามเดาว่าถุงไหนน่าจะเป็นของหมอนก ราวกับว่าถ้าผมเห็นอาหารของหมอนกแล้วจะพอเดาได้ว่าหมอห่างเราไปนานเท่าไรแล้ว ตอนนี้เราใช้เวลาไปแล้วถึงสามชั่วโมง เวลาแปดโมงเช้าบนเขาใหญ่แม้ยังไม่ร้อน แต่ท้องฟ้าที่ไร้เมฆเช่นนี้ ให้คำสัญญากับเราแล้วว่าวันนี้คงไม่ใช่วันธรรมดาของชีวิต
เราค่อย ๆ คืบคลานไปบนเส้นทางที่เขจัดไว้ให้ ช่วงประมาณ กม. ที่ 25 ก็เริ่มเป็นช่วงเขาอีกรอบ และเป็นเส้นทางที่ทรมานจิตใจเสียเหลือเกิน เราเดินกันมาแล้วร่วมสี่ชั่วโมง เส้นทางถูกจัดให้เป็นทางขึ้นไปบนเขาแล้วกลับออกมา ณ ตำแหน่งเดิม หลายคนออกมาแล้วบอกกับเราว่าบนเขานั้นไม่มีจุดเชคพอยท์อีกแล้ว เราจะยังสามารถรับรางวัลในวันนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปขึ้นเขา ตุ๊เริ่มเปรย ๆ ว่าเราไม่ต้องเข้าไปก็ได้มั้ง ผมพยายามทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วรีบ ๆ เดินหน้าเข้าไป ผมรู้ดีว่าในเวลาที่เราอ่อนล้า เจ็บปวดและเหน็ดเหนื่อยอย่างนี้ การคิดสั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เส้นทางภายในหุบเขาที่สองนั้นประมาณ 7 กม. ซึ่งต้องใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงเศษ แต่เขานั้นมันช่วงเลวร้าย ทั้งในแง่ความความชัน ความร้อน และในแง่ของความรู้สึกเสียรู้ที่ในท้ายที่สุดแล้วเาก็จะต้องกลับไปที่จุดเดิมเมื่อกี้อีกครั้ง หลังจากอีกหนึ่งชั่วโมงของความทรมานนี้ผ่านไป ใช่แล้ว ถึงตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไร “ทรมาน” คำนี้ผุดขึ้นในใจผม ผมสบถขึ้นมาดัง ๆ วันนี้มันช่างทรมานจริง ๆ ณ เวลานี้ ผมเริ่มวิ่งกระหย่องกระแหย่งเป็นพัก ๆ ทีมสามคนของเราแตกเป็นช่วง ๆ โดยมากผมจะเป็นฝ่ายนำขึ้นไป แล้วสองคนหลังค่อย ๆ ตามมาจนทัน โด่งเริ่มมีอาการเข่าที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นมาก ดุเหมือนว่าการเดินลงเขาแทบจะทำไม่ได้เลย ต้องเดินกรรเชียงปูลงมาบ้าง เดินถอยหลังบ้าง ผมก็อาศัยช่วงเวลาที่หยุดรอโด่งมายืดกล้ามเนื้อหลังไม่ให้เกิดการ collapse ขึ้น เพื่อ ณ ตอนนี้ ผมเริ่มมีอาการเข่าอ่อน หลังพับ เป็นพัก ๆ นั่นเป็นอาการของหลังที่พยายาม shut down ตัวเอง แต่ผมยังหลอกให้มันทำงานต่อไป
เราเดินกลับออกมา ณ จุดเดิมอีกครั้ง ตอนนี้เราผ่านมาแล้ว 34 km จากที่คาดว่าโด่งอาจจะ “โด่ง” ที่ตรงนี้ แต่หลังจากประสบการณ์ “โด่ง” ในคราวที่ผ่านมาจนเป็นที่มาของคำว่า “โด่ง” โด่งบอกว่าจะไม่มีวันทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง แต่สำหรับผมเองนั้น แม้ว่าเพื่อน ๆ จะไม่รู้เลยว่าในใจผมคิดอย่างไร ผมเองนั้นก็ต้องต่อสู้กับตัวเองเป็นอย่างมากเพื่อที่จะไม่ DNF ในช่วงเวลาที่ตกอับเป็นที่สุด ในเวลาที่ต้องยอมรับว่าผมจะวิ่งอีกไม่ได้แล้วในวันนี้ แล้วเวลาที่เหลือคือการเดิน เราจะผ่านเส้นทางนี้ด้วยการเดินหรือไม่ เราจะหลอกตัวเองได้ไหมว่าเรามารายการนี้เพื่อที่จะวิ่ง 50k ถ้าจำเป็นต้องเดินเราจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร หรือเราต้องบอกตัวเองว่าเรามาเพื่อที่จะทำวันนี้ให้สำเร็จ ถ้าวิ่งไม่ได้ก็เดิน ถ้าเดินไม่ได้ก็ต้องคลาน เราจะเลือกเส้นทางเส้นใด หลาย ๆ คนคงจะมองเห็นว่าผมเป็นคนอึดและอดทน คงไม่มีวันยอมแพ้ ประสบการณ์แข่งขันร่วม 20 ปีที่ไม่เคย DNF คงหล่อหลอมผมให้เป็นคนที่แพ้ไม่เป็น แต่ไม่ใช่เลยประสบการณ์เช่นนี้ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อกำลังใจเป็นอย่างมาก หลาย ๆ ครั้งที่ผมคิดว่า 20 ปีที่ผ่านมาเราทำได้มาตลอด วันนี้จะเป็นครั้งแรกมันไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร หลังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้แต่หมอนกยังบอกว่าอย่าฝืน นี่ผมฝืนมาร่วมห้าชั่วโมงแล้ว เลิกตอนนี้คงไม่เป็นไร แต่จนแล้วจนเล่าผมก็ยังเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งมาค้นพบคำว่า “ทรมาน” ที่มาช่วยชีวิตผมไว้
เรากลับมาที่จุดเดิม 34km ซึ่งเป็นร้านขายของชำเล็ก ๆ เราเดินเช้าไปหลบแดด พักผ่อน ผมเดิมน้ำในเป้อีกครั้ง หยุดกินแตงโมจำนวนมาก กล้วยเริ่มสุกบ้างแล้ว ผมเลือกกินเล็กน้อยเพราะกลัวจะย่อยลำบาก ปวดท้องขึ้นมาจะยุ่งไปกันใหญ่ พักผ่อนกันหนำใจแล้ว เราก็มุ่งเกินเดินต่อไป ผมไม่มั่นใจว่าทำไมตุ๊ยังเดินอยู่กับพวกเรา ตอนนี้ตุ๊ไม่มีอาการเจ็บเหมือนคนอื่น ผมวิ่งย่อง ๆ เป็นพัก ๆ เดินเป็นพัก ๆ ส่วนโด่งที่ดูเหมือนว่าเริ่มเจ็บมากขึ้นก็ถูกทิ้งระยะห่างมากขึ้น ผมกับตุ๊เดินคุยเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต เรื่องราวหนัก ๆ จิปาถะ แต่ไม่มีเรื่องการเมืองที่ร้อนแรงในเวลานี้เข้ามาในหัวของเราเลย เมื่อร้อนเหนื่อยมาก ๆ ผมก็จะบ่นว่าวันนี้มันช่างทรมานจริง ๆ แล้วความรู้สึกท้อแท้มันก็มลายหายไปเหมือนราวกับว่าการยอมรับโดยดุษฎีว่าชีวิตนี้มันคือทุกข์ คือการค้นพบทางออกของชีวิตนั่นเอง การยอมรับว่าเรากำลังทรมานเป็นการรับรู้ว่าชีวิตเรากำลังเดินต่อไป
เรามาเจอด่านทดสอบกำลังใจอีกครั้งในอีกหุบเขาหนึ่ง ประมาณ กม. 37 เราเห็นคนที่เดินออกจากหุบเขามาล้วนแล้วแต่มีใบหน้าไม่สู้ดี และเรารู้ว่าเราต้องเข้าไปเดินข้างในร่วมชั่วโมง เพียงเพื่อจะกลับมาที่เดิมตรงนี้อีกครั้ง คราวนี้ตุ๊เริ่มคุยกับเราซีเรียสมากขึ้น เป้าหมายที่จะสิ้นสุดการเดินทางของวันนี้ที่เวลาก่อนเที่ยงหมดไปแล้ว เราทะยอยโทรไปบอกกองเชียร์ให้ใช้เวลาท่องเที่ยวให้คุ้มค่า เพราะวันนี้คงไม่จบลงง่าย ๆ และยังคงอีกหลายชั่วโมงเราจึงจะกลับออกไปได้ ตุ๊เริ่มให้เหตุผลว่าเขาที่เราจะเข้าไปมันจะชัน และเหนื่อยมาก วันนี้เราได้พิสูจน์แล้ว ว่าเรามีใจที่สู้ เส้นทางมันโหดกว่าที่จะวิ่งได้ แล้วเราเองก็ไม่ได้วิ่ง ด้านในก็ไม่ได้มีจุดตรวจอะไร เราน่าจะเดินกลับกันที่ตรงนี้จะประหยัดเวลาไปได้เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ผมจำได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่ผมพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะตอนนี้กำลังใจผมดีขึ้นมาก ผมยอมรับแล้วว่าวันนี้จะไม่มีวันวิ่งได้อีก ผมรับรู้แล้วว่าวันนี้มันทรมาน และผมรู้แล้วว่าวันนี้จะสิ้นสุดลงในเวลาอีกสามถึงสี่ชั่วโมงข้างหน้า ผมพูดกับเพื่อน ๆ ว่า ถ้าเราเดินลัดในวันนี้ มันก็เหมือนกับการคอรับชั่นนั่นแหละ ทำไปอาจจะไม่มีใครรู้ ไม่มีใครจับได้ หรือคนที่รู้อาจจะไม่ได้ใส่ใจ แต่เรานี่แหละจะต้องอยู่กับวันนี้ไปตลอดชีวิตของเรา นี่เป็นครั้งเดียวที่ผมวกเข้าเรื่องการเมือง และผมคิดเช่นนั้นจริง ๆ ผมไม่ได้ใช้ชีวิตในวันนี้ หรือวันไหน ๆ เพื่อการยอมรับ หรือการแสดงออกเพื่อใคร ๆ ผมเดินทางในวันนี้ และในทุก ๆ วันในชีวิตเพื่อตัวของผมเอง และผมเองจะรู้เสมอว่าผมได้ทำอะไรลงไป แล้วเราก็เดินกระย่องกระแย่งเข้าไปในหุบเขานั้น เราเริ่มมองเห็นวิวสวย ๆ ในหุบเขา ความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะธรรมชาติ ถนนคอนกรีต บนยอดเขา ผ่ากลางสวนมะม่วง พืชสวนที่ขึ้นผิดที่ผิดถิ่น มองเห็นความอหังการ์ของมนุษย์ที่ตีเส้นสมมุติลงบนผิวโลกแล้วเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงสิทธิ์จอมปลอมเหนือเส้นสมมุติเหล่านั้น
เราลงมาจากเขาที่ควรจะทรมานที่สุดด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ผมตะโกนถามตลอดเวลาว่าเขานี้ชันที่สุดหรือยังเนี่ย ราวกับว่าชันกว่านี้มีอีกมั้ย ผมยังไม่ทรมานอย่างที่ผ่านมาเลยนะ ไม่ใช่แต่เพียงว่านี่จะเป็นหุบเขาสุดท้ายของวันนี้ CP 40k ตั้งอยู่เบี้องหน้า แต่เราออกมาพร้อมกับความรู้สึกน้อมรับถึงความต่ำต้อยด้อยค่าของมนุษย์ที่ต้องการครอบครองพื้นที่ใหญ่โต มากความความสามารถของตัวเองที่จะเดินได้รอบพื้นที่ผืนนั้น ความรู้สึกเริ่มต้นที่เห็นความสวยงามของวิว และอิจฉาบ้านหลังสวยตั้งขึ้นเพื่อชิงวิวที่สวยที่สุดบนยอดเขา กลายเป็นความเฉยชา ความรังเกียจในความเห็นแก่ตัวที่แย่งชิงสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นไว้เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว ทันใดนั้น ก็มีนักวิ่งวิ่งแซงเราไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือผู้นำของระยะ 100km ขณะที่เราเดินได้ 40km นักวิ่งคนนี้ทำระยะไปได้แล้ว 90km ตุ๊พยายามวิ่งไล่หลังไปได้พักใหญ่ ๆ ผมเริ่มเชื่อว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นเขา แต่แล้วก็พบว่าในที่สุดเขาก็มาหยุดรอเราอยู่ด้านหน้า แล้วบ่น ๆ ว่าตามไม่ทันเลยแม้แต่น้อย ช่างน่ามหัสจรรย์จริง ๆ ผมเริ่มคิดว่าเดี๋ยวเราคงโดนอีกหลาย ๆ คนตามมาทัน แต่ก็ไม่มีใครมาเสียที
หลังจากลงจากเขา ผมก็เริ่มวิ่งสลับเดินอีกครั้ง 1:1 วิ่งหนึ่งนาทีและเดินหนึ่งนาที เราแวะที่ CP 40k พักใหญ่ หลังจากนั้นก็เดินออกมาถ่ายรูปร่วมกันที่ระยะ 42km เพื่อรับรู้ว่าเวลาที่เหลือนี้ เป็นช่วงเวลาที่เราไม่เคยสัมผัส เพราะไม่มีใครเคยวิ่งเกินระยะมาราธอนมาก่อนในชีวิต แต่หารู้ไม่ว่า ณ เวลานี้เราเดินร่วมกันมากว่า 8 ชั่วโมงครึ่งแล้ว ผมเชื่อเหลือเกินว่า ไม่มีใครเคยเดินนานเท่านี้มาก่อนในชีวิตเช่นกัน ผมวิ่งสลับเดินและค่อย ๆ ทิ้งห่างเพื่อนทั้งสองออกมาช้า ๆ จากจุดนี้จะไม่มีเขาอีกแล้ว ค่อนข้างเป็นทางเรียบและเป็นถนนเสียส่วนใหญ่ สักพักโด่งก็ค่อย ๆ วิ่งมาทัน โด่งสามารถทำความเร็วได้มากกว่าผม ผมนั้นแม้ว่าจะอยู่ในท่าวิ่ง แต่ความเร็วไม่ได้ต่างจากเดินมากนัก หลังผมแทบจะใช้งานไม่ได้อยู่แล้ว ไม้เท้ายังต้องอยู่ในมือผมตลอดเวลา เพราะผมจำเป็นต้องใช้มันพยุงหลังของผมไว้ ในช่วงพักเดิน ผมกับโด่งค่อย ๆ ทิ้งห่างจากตุ๊ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเราก็มองไม่เห็นตุ๊อีก
ที่ระยะ 44 กม. เหลือเพียง 6 km สุดท้าย แต่ด้วยความเร็วทรมานใจเช่นนี้ เรายังคงต้องอยู่บนท้องถนนกันอีกอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ผมเริ่มโทรไปบอกภรรยาชองผม คุยสารทุกสุกดิบ แฟนผมถามว่าจะถึงหรือยัง ผมก็เล่าให้ฟังเรื่องหลัง เรื่องที่วิ่งไม่ได้ และบอกว่าอย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมง วันนี้เริ่มต้นวันที่ตีสี่ ผมเริ่มวิ่งออกมาตั้งแต่ตีห้า ตอนนี้เวลาบ่ายสองโมงแล้ว อาการที่กินไปตอนเช้า มีขนมปังเล็กน้อย ระหว่างทางมีกล้วยนิดหน่อย แตงโมจำนวนมาก เจลอีกจำนวนนึง และอีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเส้นชัย ผมบอกภรรยากะเกณฑ์เวลา และนัดเวลาอาหารเย็นให้เร็วขึ้นเล็กน้อยเพราะคาดว่าหลังแข่งผมคงจะหลับอย่างรวดเร็ว ถึงจุดนี้ผมกับโด่งก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่วิ่งได้มากนัก การเดินเป็นระยะเวลาร่วมสิบชั่วโมงมันทำให้อ่อนล้าไม่ต่างจากการวิ่งเลย ขาของผมหนักอึ้ง ไม่รวมหลังที่เจ็บปวดจนบรรยายไม่ถูก แถมเจ็บแปลบ ๆ ที่มาเยือนเป็นระยะ ๆ เจ็บแบบเข่าอ่อนน้ำตากระเด็น ที่เขาว่ากัดฟันไม่ใช่เป็นเพียงคำเปรียบเปรย แต่เป็นความจำเป็นที่ผมต้องกัดฟันเอาไว้เป็นพัก ๆ เพื่อช่วยระงับความเจ็บปวด แผ่นยาตราเสือผมแปะใช้ไปหมดแล้วทั้งสองแผ่น ผมนึกถึงสเปรย์ฉีดที่ผมตัดสินใจทิ้งไว้ในโรงแรมในวินาทีสุดท้าย แต่ตอนนี้ผมเริ่มได้ยินเสียงของเส้นชัยมาแต่ไกลแล้ว นาฬิกาของผมบอกว่าเหลืออีกเพียง 2 กมเท่านั้น ผมแค่ต้องลุ้นว่า GPS ของผมคลาดเคลื่อนมากน้อยเท่าไร เส้นทางของผู้จัดแม่นยำแค่ไหน และเส้นทางที่เราวิ่งหลงนั้นมากน้อยเท่าไร ตอนนี้ 100-200 เมตรเป็นระยะทางที่ไกลกว่าที่ใจจะสามารถปัดเศษได้
2 km สุดท้ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าผมกับโด่งจะยังสามารถ วิ่งเดินสลับอย่างละหนึ่งนาทีมาได้โดยตลอด นาฬิกาของผมบอกระยะ 50Km ไปแล้ว เหลือแต่ว่าระยะทางที่เหลือนั้นมันไกลเท่าไร ผมเห็นเส้นชัยแล้ว เวลาตอนนี้นักวิ่งแทบไม่เหลือแล้ว คนเชียร์ก็แทบไม่มีเหลือแล้ว เมื่อเข้าโค้งสุดท้ายผมก็บอกโด่งว่าเราน่าจะวิ่งไปตลอดนะ ไม่มีเดินอีกแล้ว แล้วทั้งสองก็กัดฟันกันเข้าไป เส้นชัยมันดูสวยงาม แต่ก็ไม่ได้สวยงามมากว่าเส้นชัยอื่น ๆ ที่ผมเคยเข้ามาแม้ว่าวันนี้ผมจะใช้เวลาไปถึงสิบชั่วโมงเต็ม ๆ กับระยะทาง 50km สิ่งแรกที่ผมวิ่งเข้าหาก็เป็นเต้นนวดและก็ไม่ผิดหวัง บริการนวดที่ครบสูตร ยาวนานจนในที่สุดตุ๊ก็วิ่งเข้าเส้นมานวดอยู่ในเตียงข้าง ๆ กัน ผมกับโด่งนวดเสร็จก่อนตุ๊เล็กน้อย ผมบอกลาตุ๊ เพราะพรุ่งนี้เราต้องเจอกันอีกครั้งสำหรับ เขาใหญ่ทรมานบันเทิง วันที่สอง
ผมกลับบ้านไปพบกับครอบครัว พาลูก ๆ ลงเล่นน้ำนิดหน่อยหลังจากที่อาบน้ำล้างเนื้อตัวเรียบร้อยแล้ว เย็นนั้นเราออกไปกินข้างเร็วตามที่ผมโทรมาจัดแจงไว้แล้ว อาหารเย็นวันนั้นเราสั่งมาแบบเต็มสูบ หลังจากอาการเจ็บหลังในช่วง 10-20km การเดิน 30km ให้หลังแม้ว่าจะมีแปลบ ๆ บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อสิ้นวันผมยังคงเดินเหิญได้ปกติ ก้มได้เล็กน้อยเพียงพอสำหรับการปั่นจักรยานในวันต่อไป อำนวยโทรมาถามไถ่เล็กน้อยว่าต้องการอะไรหรือไม่ ผมขอให้เขาแกเตอเรตให้ผมสักสี่ขวด คืนนั้นผมเข้านอนตามปกติ ไม่ได้เพลียหลับเร็วอย่างที่คิดไว้ ไม่ได้เหนื่อยล้าอย่างที่รู้สึกทรมาน เป็นความรู้สึกแปลก ๆ ผมรู้สึกแข็งแรงผิดปกติ ผมตั้งนาฬิกาปลุกที่ตีห้าครึ่งและเข้านอนประมาณเที่ยงคืน สำหรับวันที่ยาวนานนี้
สุดยอดมากเลยครับ
ขอบคุณครับ
สุดยอดไปเลยครับพี่
ขอบคุณครับ
การแข่งขันวิ่งเทรล ปั่นจักรยาน และไตรกีฬา ถ้าต้องการลงแข่ง เราสามารถหาข้อมูลและการกำหนดวันเวลาการแข่งขันที่ไหนได้บ้างค่ะ รบกวนด้วยคะ ขอบคุณคะ
ผมไม่ทราบครับ ส่วนใหญ่ผมแข่งจนพอจะรู้ว่ามีรายการใดที่อยากไป แล้วก็ค้นชื่อรายการเอาเลยครับ แล้ว้รามีทีมอยู่เป็นกลุ่ม ใครเจออะไรมาก็เอามาชักชวนกันครับ ถ้าแอด FB ผมเข้ามาจะเพิ่มชื่อในทีมให้จะทราบข่าวครับ เรามีคนแข่งเรื่อยๆ