เขาใหญ่ทรมานบันเทิง วันที่สอง : Khao Yai SufferFest Day Two

กิจกรรมเขาใหญ่ทรมานบันเทิงเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ ด้วยความที่ทีม Very Forty ของเรามีสมาชิกเข้าร่วมการแข่งขัน The North Face 100 กันหลายคนและมี 4 คนในนั้น อาจหาญที่จะทดสอบจิตใจที่ระยะทาง 50K ขึ้นเขาลงห้วยในผืนป่าเขาใหญ่ อำนวยซึ่งเป็นสมาชิกรุ่นบุกเบิกของทีมไม่สามารถร่วมวิ่งวิบากได้เพราะปัญหาส่วนตัว ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นคนซุ่มซ่าม แค่วิ่งขึ้นลงฟุตบาทก็หัวทิ่มหัวคะมำจนไม่คิดว่าจะสามารถวิ่งขึ้นเขาลูกไหน ๆ ได้ ผมรู้สึกเสียดายที่หลาย ๆ คนได้เข้าร่วมสนุกในรายการนี้แต่ขาดอำนวย จึงได้เอ่ยปากชวนอำนวยให้มาปั่นข้ามเขาใหญ่ด้วยกันในฐานะที่เป็นคนเดียวในทีมที่ได้มาทดสอบเส้นทางก่อนหน้านี้มาแล้ว อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความบังเอิญ ผมเจอกับอำนวยในการแข่งขันครั้งสุดท้ายที่ ลากูน่า ภูเก็ต ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เคยคิดว่าจะไปปั่นจักรยานที่หัวหิน แต่คุยไปคุยมาเราคิดว่าการปั่นงานหัวหินน่าจะสนุกสนานตามประสาทีมของเรา ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ระหว่างปั่นหัวหินเราก็ได้คุยกันว่างานต่อไปน่าจะเป็นอะไร การปั่นที่เขาใหญ่ก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ ผมจึงทิ้งจักรยานไว้กับอำนวยตั้งแต่งานหัวหิน แล้วนัดกันแบบหลวม ๆ ว่าเราจะไปปั่นกันที่เขาใหญ่ในช่วงที่ผมจะไปแข่ง TNF100 ที่นั่น

1902878_802570229760064_867573002_n

ก่อนวันแข่งขันสักพักเราก็เริ่มชักชวนเพื่อนสมาชิก แต่ผลการตอบรับไม่ค่อยดีเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามก็เพียงพอให้ผมและอำนวยในฐานะตัวตั้งตัวตีของความคิดนี้ ไม่กล้าที่จะเลิกล้มความตั้งใจ เรามีสมาชิกเข้าร่วมในรายการวันแรก TNF100 ทั้งหมด 5 คน เพชรทดสอบสนามครั้งแรกที่ระยะ 25K ผม ดร.ตุ๊ โด่ง และหมอนก ขอลอง 50K เป็นครั้งแรก ในงานวันปั่นมีอำนวยเป็นตัวยืน เขาจะขนจักรยานมาให้ผมจากกรุงเทพ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้รถอำนวยเพิ่งเสียอย่างหนักจนต้องขายทิ้ง และในวันที่ปั่นนี้เขาต้องเช่ารถขับมาเพียงเพื่อปั่นกับพวกเรา ส่วนตุ๊นั้นถ้าเขาปลีกเวลามาได้แล้ว รายการแบบนี้เขาไม่เคยพลาด แม้ว่าตุ๊มีเพียงรถ TT คันเดียว ใช้ clipless pedal ไม่เป็น และเปลี่ยนเกียร์ยังไม่ค่อยเป็น ตอนที่เราประกาศชวนครั้งแรกตุ๊ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล ผมพยายามหลอกล่อสมาชิกที่ต้องมาวิ่ง TNF100 ให้เข้าร่วมการปั่นด้วยกันแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ดูเหมือนว่าการปั่นขึ้นเขาใหญ่จะไม่ใช่ความคิดที่ดูสนุกมากนักในสายตาของคนที่ยังไม่ถึงจุดที่เรียกว่า “บ้า” สมาชิกของทีมท่านอื่น ๆ ก็ตอบว่าจะมาร่วมกันปั่นอีกสองสามคน แต่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนการในวินาทีสุดท้าย ซึ่งเมื่อถึงวันจริง ๆ แล้วต้องยอมรับว่าผมเองก็รู้สึกใจหาย เหงา ๆ อยู่เช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วจะมีเพียงผม อำนวย และตุ๊ที่อาจจะทรมานจาก TNF100 จนเปลี่ยนใจก็เป็นได้

L1060194

ผมบันทึกเชาใหญ่ทรมานบันเทิงวันแรกเอาไว้ตรงนี้

หลังจากที่ผมได้คำนิยามของ TNF100 ที่ผ่านมาว่า “ทรมาน” แล้ว ความคิดที่จะปั่นในวันรุ่งขึ้นต้องมีตรรกะอื่นเข้ามารองรับ มิเช่นนั้น มองจากมุมภายนอกหลาย ๆ คนคงคิดว่าพวกเราเสียสติ และนี่เป็นที่มาของคำว่า “ทรมานบันเทิง” ชื่องานจึงเป็นเช่นนี้ และเป็นชื่อที่เกิดขึ้นภายหลัง ดังนั้นในปีแรกนี้เรามีสมาชิกเข้าร่วมทั้งหมด 6 คน โดยมี 2 คน ผมและตุ๊ที่ทำครบทั้งสองวัน คงต้องมาดูกันต่อไปว่าจะมีกิจกรรมนี้ต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไปหรือไม่ มีสมาชิกเข้าร่วมเพิ่มขึ้นหรือลดลง และจะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดกิจกรรมบ้างหรือไม่อย่างไร

L1060169

110K Khao Yai : The Ride to Conquer : ปั่นพิชิตเขาใหญ่

เพื่อที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ของวันที่สอง ผมต้องตั้งชื่อกิจกรรมเอาไว้ก่อน เพื่ออ้างอิงในปีหน้า ผมยังมีความรู้สึกว่าเรายังต้องปรับเปลี่ยนเนื้อหากิจกรรมวันที่สองนี้อีกเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามสำหรับปีแรกนี้ ความรู้สึกที่ได้นั้นทำให้มีความมั่นใจว่าปีที่สองน่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และแม้ว่าผมจะค่อนข้างมั่นใจว่า trail running น่าจะไม่เหมาะกับคนอย่างผม (เช่นเดียวกันกับอำนวย) ผมอาจจะยอมมาเดิน TNF100 ในปีหน้าเพียงเพื่อทำกิจกรรมที่เรียกว่า “เขาใหญ่ทรมานบันเทิง” เป็นปีที่สองให้ได้

หลังจากผ่านวันแรกไปได้ ผมเองไม่ได้เหนื่อยหรืออ่อนล้าเหมือนกับประสบการณ์ผ่านการวิ่งมาราธอนครั้งแรกของผม หลังจาก ชุดนวดชั้นดีของผู้จัด TNF100 hot bath ที่โรงแรม และเล่นน้ำสนุก ๆ กับลูก ๆ พร้อมกับจัดอาหารเย็นชุดใหญ่แล้ว ผมก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก แน่นอนว่าผมวิ่งไม่ได้เพราะหลังเจ็บมาก แต่เดิน ก้มนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ใช่ปัญหา ผมนอนหลับอย่างไม่กังวล และตื่นเช้าในเวลาประมาณตีห้าอย่างสดชื่น ผมทานขนมปังเล็กน้อยเพื่อให้มีเวลาย่อย เพราะเราวางแผนจะเริ่มปั่น 7:30 ผมรอห้องอาหารของโรงแรมเปิดเวลา 6:00 เพื่อไปทานข้าวต้มเบา ๆ รองท้อง อำนวยซึ่งบ่นว่านอนไม่หลับได้ออกมาจากกรุงเทพฯ มานานแล้วและมาถึงในพื้นที่ปากช่อง แต่หลบนอนข้างทางรอเวลาอยู่ก่อนหน้าแล้ว ผมจึงบอกให้อำนวยเข้ามาจัดของบริเวณลานจอดรถของโรงแรมซึ่งเป็นจุดนัดพบ ก่อนที่ผมจะตามไปสมทบเมื่อทานข้าวเช้าเรียบร้อย เราตระเตรียมจักรยาน แต่งเนื้อแต่งตัวรอการปรากฏตัวของตุ๊ เมื่อเขามาถึงเราจึงตรวจสอบอุปกรณ์อีกครั้ง ก่อนที่จะถ่ายรูปร่วมกัน กิจกรรมถ่ายรูปซึ่งสำคัญมาก ทำให้เราพลาดแผนไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เวลา 8:30 โดยประมาณเราจึงค่อย ๆ เริ่มออกตัวปั่น 7 กม. เพื่อไปหน้าด่านฝั่งปากช่อง เราคาดกันว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง และวันนี้น่าจะเสร็จสิ้นในช่วงอาหารกลางวัน

1897829_690160011007461_314095219_n

อำนวยผู้ชำนาญในพื้นที่มากที่สุด เป็นคนบรีฟเส้นทาง เรารู้กันว่าในช่วงแรกจากหน้าด่าน เราต้องปั่นขึ้นเขาเรื่อย ๆ ขึ้นไประยะทางประมาณ 6-8 กม. โดยจะมีช่วง 1 กม. สุดท้ายที่จะชันและยาวแบบไม่มีจุดพัก อาจจะเป็นจุดเดียวที่ถ้าหากจะสอบตกคราวนี้ มันก็น่าจะเป็นจุดนี้นี่แหละ เป้าหมายของวันนี้ได้ถูกประกาศล่วงหน้าเอาไว้แล้ว นั่นคือ เวลาไม่สน เราเอาแค่ขาไม่แตะพื้นให้ได้เป็นพอ ผมไม่เคยมาปั่นที่นี่มาก่อน จึงวางแผนว่าจะอยู่ในโหมดประหยัดพลังงานตลอดเวลา ในช่วง 7 กม. แรกก่อนมาถึงหน้าด่านนั้นเป็นระยะทางที่ค่อนข้างเหมาะสม ปั่นเบา ๆ เหงื่อกำลังซึม ๆ เพราะเมื่อมาถึงหน้าด่านแล้ว ก็จะเป็นทางขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งผมเห็นว่าการวอร์มอัปเบื้องต้นน่าจะเป็นสิ่งจำเป็น เราคุยกันเรื่อยเปื่อย อำนวยพยายามสอนตุ๊เรื่องวิธีการเปลี่ยนเกียร์ ผมคิดในใจว่าหลังจากงานนี้ตุ๊น่าจะเข้าใจหลักการของเกียร์จักรยานมากขึ้นเพราะเส้นทางเป็นเขาแบบนี้จำเป็นต้องใช้เกียร์แทบครบทุกเกียร์

1798779_690167071006755_926005687_n

เมื่อถึงหน้าด่าน เราชำระค่าผ่านทาง แล้วก็นัดแนะถึงจุดนัดพบจุดแรกในกรณีที่มีการทิ้งระยะกัน งานนี้เรามาทำกิจกรรมร่วมกัน ถ้าจะทิ้งกันแบบตัวใครตัวมันก็คงไม่มีความจำเป็นต้องนัดกันมา ผมคิดเช่นนั้น จุดนัดพบจุดแรกคือจุดชมวิว ตามที่อำนวยวางแผนไว้ ซึ่งจะเป็นระยะทางประมาณ 7-8 km แรกที่ชันที่สุดของวันนี้ โหดที่สุดในวันนี้ และช่วงที่โหดสุดคือ 1 กม. สุดท้ายก่อนถึงจุดชมวิว ตามที่เรามีข้อมูล หลังจากนั้นเราก็เริ่มออกตัวไปพร้อม ๆ กัน ผมค่อย ๆ ปั่นขึ้นไปเรื่อย ๆ เริ่มเห็นเขาชันขึ้นและหักโค้ง ผมตะโกนถามอำนวยไปเรื่อย ๆ ตลอดทางว่านี่ใช่เขาหรือยัง มีชันกว่านี้อีกมั้ย ในหัวของผมวางแผนการใช้พลังงาน ในขณะที่ร่างกายพยายามรับเอาออกซิเจนเข้าให้มากที่สุด ผมพยายามรักษารอบขาเปลี่ยนเกียร์เบา ๆ อย่างรวดเร็ว ยังไม่พ้นเนินแรก ผมก็ตะโกนบอกอำนวยว่าเกียร์ของผมหมดแล้ว ซึ่งหมายถึงผมเปลี่ยนมาเป็นเกียร์สุดท้ายที่เบาที่สุดแล้ว วันที่เหลือต่อจากนี้ เป็นเรื่องของการประเมินความเร็ว การเลี้ยงขาและลมหายใจ ทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ปริมาณกรดแลกติกในกล้ามเนื้อมีปริมาณมากจนไม่สามารถปั่นต่อไปได้และในที่สุดต้องลงมาเข็น การที่เกียร์ผมหมดตั้งแต่เนินแรกของวันมันก็กัดกินใจผมพอสมควร ในระยะทาง 100 กิโลเมตรกว่า ๆ ที่เหลือสภาพเราจะเป็นอย่างไร

1375052_690159037674225_549931754_n

ผมหันไปด้านหลังเพื่อสังเกตุอาการของตุ๊ซึ่งก็บ่นว่าเกียร์หมดแล้วเช่นกัน จริง ๆ แล้วผมค่อนข้างดีใจที่ตุ๊บ่นเช่นนั้น เนื่องจากรูปร่างของเขานั้น สังเกตุจากขนาดของต้นขา การปั่นเขาน่าจะเป็นจุดอ่อนของตุ๊ได้เลยทีเดียว ต้นขาขนาดมหึมาไม่ต่างจากสปรินเตอร์ หรือ นักปั่น track มีศักยภาพในการระเบิดพลังขา กดวัตต์ประมาณมหาศาลออกมาในช่วงสั้น ๆ การปีนเขานั้นเป็นเรื่องของความสามารถในการผลิตพลังงานเป็นวัตต์ต่อกิโลกรัมออกมาในประมาณพอสมควร แต่ที่สำคัญกว่าคือ cardiovascular efficiency ที่จะแลกออกซิเจนออกจากกล้ามเนื้อได้มากกว่า เร็วกว่า จะการก่อตัวของกรดแลกติกในกล้ามเนื้อเกิดขึ้นช้ากว่า หรือไม่เกิดขึ้นในระหว่างการปีนเขานั้น ๆ ดังนั้นเมื่อตุ๊เลือกที่จะใช้เกียร์ต่ำ ๆ จนถึงเกียร์สุดท้ายผมมั่นใจว่าเขาไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อผิดประเภทเข้าไปห้ำหั่นกับเขาลูกนี้ แต่อย่างไรก็ตามทักษะการปีนเขานอกเหนือจากการเปลี่ยนเกียร์และใช้ขานั้น มันก็ต้องมีการสั่งสมมาประมาณหนึ่ง การปีนเขาครั้งแรกของ ดร.ตุ๊ ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขานัก

จริง ๆ แล้วความรู้นี้เป็นความรู้พื้นฐานของเหล่านักกีฬาคนอึด แต่ผมเข้าใจมันจริง ๆ เมื่อตอนผมไปเล่นกีฬาปีนเขา ที่ความผิดผลาดของมือใหม่คือการใช้งานกล้ามเนื้อหนักเกินกำลังอยากรวดเร็วจนเกิดอาการที่เรียกว่า “ปั้ม” แล้วไม่สามารถใช้งานกล้ามเนื้อนั้นได้อีกต่อไปถ้าไม่พักเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งเป็นอาการคล้าย ๆ กันเมื่อนักปั่นไม่สามารถกดเท้าลงบนบันไดจะสร้างความเร็วเพียงพอเพื่อที่จะให้จักรยานทรงตัวอยู่ได้ การลงมาเข็นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

1016569_690164987673630_2025848252_n

เมื่อเขาชันมาก ๆ เข้า เราต่างคนต่างก็ต้องเข้าสู่จังหวะของตนเอง ตามลักษณะของกล้ามเนื้อ และคุณภาพการฝึกซ้อมทึ่เตรียมมา ผมพยายามปรับจังหวะให้รอบขาสูงกว่าที่ผมต้องการเล็กน้อยเพื่อที่จะได้ความเร็วที่ต้องการ ใช้กำลังจากขาให้น้อยที่สุด ในขณะเดียวกันพยายามผ่อนคลายร่างกายท่อนบน ด้วยการจับบนบาร์ยกตัวให้สูงเข้าไว้เพื่เปิดกระบังลมรับอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด สลับกับการเข้าไปจับบริเวณมือเบรค (Hood) เมื่อต้องการ leverage เนื่องจากในบางครั้งบางจังหวะที่เขามีการหักมุม เพิ่มความชันในช่วงสั้น ๆ ผมจะใช้ร่างกายท่อนบนช่วยทำงานด้วยการเป็น leverage กับจังหวะขาที่กดลงในขณะที่จังหวะแขนฝั่งตรงข้ามง้างตัวงัดสร้างกลไกคานดีดคานงัดบนเฟรมจักรยาน ซึ่งการเคลื่อนมือไปจับบริเวณคันเบรคจะช่วยให้มีระยะงัดสูงกว่า การทรงตัวทำให้ง่ายกว่า และท่าจับที่ถนัดมากว่าซึ่งสร้างความมั่นใจขณะออกแรงง้างได้อย่างเต็มที่ ผมอาศัยทักษะการปั่นที่มีมายาวนานเข้าสู้กับเขาใหญ่และความอ่อนล้าของวันก่อนหน้า ในขณะที่อำนวยใช้ประสบการณ์และความมั่นใจที่เคยผ่านมาแล้วเข้าสู้ เนินแล้วเนินเล่า เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับระดับความชันที่เขาใหญ่ได้เตรียมไว้สำหรับเรา ผมกับอำนวยเริ่มทิ้งตุ๊จนมองไม่เห็น และคาดว่าจะปฏิกิริยาในเนินแรก เขาอาจจะถอดใจลงเข็น แต่คงไม่เป็นการดีนักเพราะถ้าต้องเข็นขึ้นเขาเป็นระยะทาง 7k วันนี้คงไม่สั้นอย่างที่คิดไว้

IMG_3922

อำนวย คอยตะโกนบอกระยะทางเป็นพัก ๆ เพื่อคอยเตือนว่ายังเหลือเขาอีกนานเท่าไร และ 1km สุดท้ายในตำนาน ที่เขาจะต้องกลับมาล้างแค้นในวันนี้มันอยู่ตรงไหน เขาเปรย ๆ ว่า ในคราวนั้น เขายังมีประสบการน้อย เขาแม้ว่าจะไม่ชันมากเท่ากับที่ภูเก็ตที่เขาเคยปราบมาแล้ว แต่ความต่อเนื่องกันเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตรโดยไม่มีจังหวะพักนั้น ทำให้เขายอมแพ้ในคราวแรกที่ได้เจอกัน ทันทีที่เข้าสู่กิโลเมตรสุดท้าย เขาก็ประกาศว่าเริ่มตรงนี้แหละ จากนี้เขาไม่รู้ว่าเขาจะข้ามผ่านมันได้หรือไม่ในคราวนี้ ผมแอบมองจังหวะการปั่นของเพื่อนที่เพิ่งเริ่มซื้อจักรยานมาปั่นได้ไม่ถึง 6 เดือน รอบขาสูง ร่างกายช่วงบนมั่นคง ยืดตรงสูงรับอากาศเข้าเต็มปอด ผมมั่นใจว่าเขานี้ไม่สามารถหยุดอำนวยไว้ได้แล้วในวันนี้ อำนวยได้ยกระดับของทักษะการปั่นขึ้นไปอีกขั้น ความท้าทายอื่น ๆ ในปีต่อไปน่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับทักษะที่พัฒนาขึ้น ผมยังคงอยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน เลื้อยเมื่อมีโอกาส อำนวยค่อย ๆ ทิ้งผมห่างไปเรื่อย ๆ ผมคิดว่าเขาคงรู้แล้วว่าจุดไหนคือจุดที่เป็นศัตรูตัวร้ายที่เขาต้องเข้าจัดการ ไม่มีเสียงจากอำนวยคอยบอกแล้ว ผมตะโกนถามแบบไม่มีคำตอบตลอดเวลาว่านี่คือเนินสุดท้ายหรือยัง

ในเวลานี้จากการกดขาแล้วขาเล่ามาเป็นระยะทางเกือบ 1 กม. โดยไม่มีการพัก แม้ว่าความพยายามเก็บแรงของผมจะช่วยได้มาก การนำเข้าออกซิเจนเพื่อกำจัดกรดแลกติกเริ่มจะทำงานไม่ค่อยทัน ผมเริ่มต้องลุกขึ้นยืนปั่นเป็นจังหวะสั้น ๆ ซึ่งผมมักจะเก็บไว้เป็นไม้ตายสุดท้าย เพราะการลุกขึ้นยืนจะทำให้มีการใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อหลายส่วนมากขึ้นแม้ว่าจะลดพลังงานที่ต้องการจากกล้ามเนื้อขาไปได้ด้วยการใช้น้ำหนักตัวเข้าช่วยกด แต่การใช้กล้ามเนื้อทั้งตัวจะทำให้ต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีความจำเป็นต้องเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งในเวลานี้ก็ปริ่ม ๆ จะ over heat อยู่แล้ว เข้าสุ่จุดที่อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งสุ่จุด over heat จนต้องดับเครื่องเพื่อลดความร้อนลง ผมเข้าใจกลไกนี้ดี และกำลังเล่นอยู่กับมัน ความสมดุลย์ระหว่าง  aerobic efficiency และ anaerobic efficiency

IMG_3932

ทันใดนั้นผมก็เห็นอำนวยซึ่งตอนนี้อยู่ห่างจากผมไปเกือบสามร้อยเมตร ลงจากจักรยานควักมือถือขึ้นมาเล็งมาที่ผม ผมเข้าใจทันทีว่ามันสิ้นสุดแล้วที่ตรงนี้ ในขณะที่ขาของผมเริ่มร้องไห้ หัวใจผมเริ่มหัวเราะด้วยความยินดี แต่เหมือนจะยินดีเร็วไปหน่อย ความเร็วของผมตกจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ผมเริ่มเลื้อยอีกครั้ง เอาความเร็วขึ้นมาได้เล็กน้อย ผมจำเป็นต้องยกตัวเข้าโยกในบางจังหวะเพราะขาอย่างเดียวเริ่มเอาไม่ไหว แต่ผมก็เริ่มจะเห็นหัวใจที่กำลังจะระเบิดเนื่องจากความล้าที่สะสมมาทั้ง 7km ซึ่งมาพีคในช่วงสุดท้ายนี้ ผมไม่แปลกใจที่อำนวยลงเข็นในครั้งแรกที่มาคนเดียว เพราะเป็นผม ผมก็คงเข็นเช่นกัน และผมก็ไม่แปลกใจถ้าตุ๊จะเลือกลงมาเข็น ณ จุดนี้ เพราะในขณะที่เขาถึงจุดนี้นั้น เขาจะต้องปั่นอยู่คนเดียว โดยไม่เคยรู้ว่ามันจะต้องรู้สึกเช่นไรและจะต้องไปอีกไกลเท่าไร มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่สำหรับผมการหยุดเก็บภาพของอำนวยน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้ผมรู้ว่าผมต้องทนความรู้สึกนี้ไปอีกไม่นานเท่าไรนัก ผมปั่นผ่านอำนวยไปอย่างช้า ๆ เมื่ออำนวยเก็บภาพเรียบร้อยแล้วก็ปั่นตามผมขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดชมวิว ซึ่งเราถือโอกาสรอการรวมกลุ่มกันอีกครั้งเพื่อถ่ายภาพ ถ้าถามว่าคุ้มค่าความเหนื่อยที่จะปั่นขึ้นมาจนเห็นวิวนี้หรือไม่นั้น คงตอบยากสำหรับผม แต่ความเข้าใจถึงจิตวิทยาของความท้อแท้ การต่อสู้กับตนเองภายในหัว ความอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย จิตวิทยาของการยอมแพ้ ผมว่ามันคุ้มค่ามาก ๆ

หลังจากได้ภาพกันจนเป็นที่พอใจแล้ว เป้าหมายต่อไปคือบริเวณยอดเขา ที่มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่อำนวยอธิบายมาแล้วว่าไม่ค่อยจะมีเนินหนัก ๆ แล้ว เรื่อยๆ ไปอีกประมาณ 8k เท่านั้น เราทั้งสามขึ้นอานไปเจอเนินเล็ก ๆ อันแรก ตุ๊ก็โวยวายไม่หยุดเสียแล้ว ไหนว่าไม่มีเนินแล้วไง ซึ่งมันย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพราะเรายังต้องขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดเป็นระยะทางอีก 8 กิโลเมตร มันคงต้องมีแต่ขึ้น แต่ถ้าเส้นทางเป็นไปในลักษณะขึ้นแล้วพัก ขึ้นแล้วลงแล้วขึ้น เช่นนี้ มันก็จะไม่หนักหนาสาหัสเหมือนในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าตุ๊จะบ่นตลอดทาง แต่คราวนี้เขาก็สามารถเกาะกลุ่มมากับเราได้ คาดว่าตุ๊เองก็ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเองมาแล้วอีกชั้นหนึ่ง แล้วเราก็พบว่าหลังจากงานนี้จบสิ้นตุ๊ก็หาโอกาสไปร่วมทริปจักรยานแบบลุยเดี่ยวอีกครั้ง พร้อมกับประกาศหาเสือหมอบคันใหม่ในทันที ไม่ช้าไม่นานเราก็ขึ้นมาถึงยอดเขา แน่นอนว่าเราก็ต้องจอดกันเพื่อถ่ายรูปกับป้ายชื่ออุทยานเป็นที่ระลึก ตามธรรมเนียมปฏิบัติของนักท่องเที่ยวที่ดี เราถือโอกาสคุยกับนักปั่นทีม PCS จากโคราช เป็นระยะเวลาสั้น ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นนักกีฬาทีมชาติรุ่นเกษียณที่เพิ่งกลับมาปั่นเตรียมไปพิชิตดอยอินทนนท์ หลังจากนั้นเราก็คว้าจักรยานออกตัวกันไป เพื่อจะลงไปอีกฝากของเขาใหญ่ ด่านฝั่งจังหวัดปราจีนบุรี

L1060173

จากจุดนี้เราไม่ทราบระยะทางที่ชัดเจน นอกจากคำบอกเล่าว่าน่าจะเป็นระยะทางประมาณ 40 กม. แต่จากการถามคนในพื้นที่บางคนก็บอกว่า 30 กม. เราจึงไม่แน่ใจนักว่าระยะทางจริง ๆ จะเป็นอย่างไร แต่เนื่องจากมันจะเป็นการลงเขาตลอดทางเราจึงไม่กังวลมากนัก แต่ในความเป็นจริง มันก็จะมีขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นพัก ๆ แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วเราจะค่อย ๆ ลงเขามาเรื่อย ๆ ในระหว่างที่มีการปั่นขึ้นบ้างเป็นบางจังหวะ เราก็ร่วมกันยินดีว่านี่จะเป็นจุดพักในขณะที่เราปั่นกลับขึ้นมา ในช่วงนี้ตุ๊สามารถเกาะกลุ่มกับเราได้ตลอดเวลา เนินเขาสลับขึ้นลงในลักษณะนี้ตุ๊เอามันอยู่แล้วอย่างสบาย ๆ อย่างไรก็ตาม การเน้นพลังขาอันมหาศาลของเขาเพียงอย่างเดียว จะยังคงเป็นข้อจำกัดเมื่อเขานั้นยาวอย่างต่อเนื่อง หรือความชันสูงเกินจุดหนึ่ง แต่เราก็ได้เริ่มเห็นอีกข้อจำกัดของนักปั่นมือใหม่อ่อนซ้อม เมื่อเขาเริ่มลาดเป็นทางลงอย่างต่อเนื่องยาวขึ้นเรื่อย ๆ

อำนวยเริ่มปล่อยตัวลงไปให้ความเร็วปลายสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ผมยังโลเลว่าจะรอตุ๊อีกหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเห็นอำนวยเริ่มโหนความเร็ว หมอบตัวเข้าโค้ง ผมก็อดไม่อยู่ที่จะร่วมสนุกกับเขาด้วย ในขณะที่อำนวยใช้การปั่นรอบขาสูงร่วมกับการลงที่ความเร็วสูง ผมพยายามใช้โมเมนตัมจากจักรยานหนัก ๆ ของผม แตะเบรคน้อยที่สุด ปรับตัวอยู่ในท่าหมอบยอดฮิตของโปรยามลงเขา หาจังหวะเข้าโค้งให้คมและดีที่สุด ที่สำคัญคือปั่นให้น้อยที่สุด นาน ๆ จะได้ฝึกทักษะเหล่านี้ ผมจึงของจัดเต็มใช้เวลากับมันอย่างเต็มที่ ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะสร้างความได้เปรียบเป็นอย่างมากสำหรับนักจักรยานที่มีความเชี่ยวชาญ ในขณะที่มือใหม่จำเป็นต้องแตะเบรค หาโค้งที่ดีเข้าไม่ได้ ก็จะสูญเสียเวลาในช่วงลงเขาไปเป็นอย่างมาก ในทางกลับกันนั้นคนที่เชี่ยวชาญจะได้เวลากลับมาโดยไม่ต้องออกแรง และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น เราสองคนค่อย ๆ ทิ้งระยะห่างจากตุ๊ไปเรื่อย ๆ ผมกับอำนวยผลัดกันนำ ผลัดกันตาม เพราะผมจะพยายามไม่ปั่น ความเร็วเฉลี่ยขณะลงของผมน่าจะเร็วกว่าอำนวยเล็กน้อย แต่ความเร็วเฉลี่ยขณะขึ้นผมก็น้อยกว่าอำนวยเล็กน้อยเพราะการงดปั่นของผม และหลาย ๆ ครั้งผมใช้อำนวยในการอ่าน line ลงเขา มันทำให้ผมทำความเร็วได้สูงกว่า และผมก็สนุกกว่าด้วย ในที่สุด 20km เศษ ๆ ก็จบสิ้นลง เรามาหยุดรอตุ๊ที่หน้าทางเข้าน้ำตกเหวนรก เหลือระยะทางประมาณ 10 km จะถึงด่านปราจีนฯ

71656_574737825951363_1136757059_n

เราเสียเวลารอค่อนข้างนาน และตอนนี้ก็เข้าใกล้สิบโมงเข้าไปแล้ว จากเส้นทางลงยาว ๆ ที่ผ่านมานั้น เรารู้แล้วว่าการปั่นขึ้นน่าจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าการปั่นขึ้นจากฝั่งโน้นมากเลยทีเดียว เมื่อตุ๊มาถึงเราก็มาคุยกันเพื่อวางแผนอีกเล็กน้อย เราคุยกันว่าน่าจะต้องลงไปที่ด่านแล้วปั่นกับมาทานอาหารเที่ยงที่ตรงนี้เลย เพราะการปั่นขึ้นน่าจะใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ เมื่อตกลงกันตามนั้น เราก็ไหลกันลงต่อไป ระยะทาง 10 km ลงเขานั้นใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เมื่อลงไปถึงด่านเราก็หันหน้ากลับทันที ระหว่างที่เราปั่นขึ้นไปนั้นเราก็เริ่ม ๆ คุยกันว่ามันยาวและหนักหน่วงใช้ได้นะ ขาขึ้นช่วงนี้ ซึ่งน่าจะเป็นคำอธิบายภาพที่เราเห็น ในขณะที่นักปั่นขึ้นจากฝั่งนี้ขึ้นไปมีหน้าตาที่เจ็บปวด เสื้อได้ถูกปลดซิปลงมาปล่อยให้ชายเสื้อปลิวไปกับสายลมเบา ๆ แม้ว่าจะไม่ได้ชันมากเท่ากับอีกฝั่ง แม้ว่าจะไม่ได้มีความชันยาวต่อเนื่องแบบไม่มีที่ให้พักเหมือนฝั่งโน้น แต่ระยะทาง 35-40 km ปั่นขึ้นโดยตลอดแบบนี้ เวลาที่ยาวนาน ระยะทางที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุดได้ง่าย ๆ มันทำร้ายจิตใจได้มากพอ ๆ กัน

ณ วันนี้ผมคงยังไม่เข้าใจความเจ็บปวดของนักปั่นที่ปั่นกลับขึ้นไปสวนกับพวกผมที่ปั่นลงมามากนัก เพราะเราปั่น 10 กม. ขึ้นมาจากด่านถึงจุดพักทานอาหารเที่ยงของเรา แม้ว่าจะรู้สึกว่าหนักพอดูแต่มันก็เป็นระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมง เส้นทางทางทั้งหมดมีความชันเฉลี่ยน่าจะไม่เกิน 10% แต่จะมีช่วง 15% เป็นจุด ๆ และชันที่สุด 17% แต่เนื่องจากมีช่วงพักระหว่างเนินค่อนข้างมากทำให้ไม่เหนื่อยไม่เท่ากับฝั่งขึ้นจากด่านปากช่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการใช้เทคนิคการปั่นรอบขาสูงเข้าร่วมด้วย แม้ว่าจะเหนื่อย ร้อน และยาวนาน ข้อจำกัดทางร่างกายเนื่องจากปริมาณกรดแลกติกหรือร่างกาย (หัวใจ) over heat แทบจะไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ถ้ายอมแพ้ในฝากฝั่งนี้ก็คงเป็นการแพ้ใจตัวเองเพียงอย่างเดียว

1014090_690157924341003_2024164791_n

เทคนิคการปั่นรอบสูงนี้จริง ๆ แล้วเกิดโดยความจำเป็นที่มี แลนซ์ อาร์มสตรองค์ แสดงให้ดูเป็นคนแรกในการปั่นบดขยี้นักปั่นขึ้นเขาอย่าง มาร์โค พานทานี หรือ ยาน อูลริค ที่ใช้รอบขาค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับมาตรฐานปัจจุบัน ยิ่งถ้าได้ดูปีที่ เซอร์ วิกกินส์ ปั่นจนเป็นแชมป์ ก็จะได้เห็นรอบขา 120 rpm ปั่นขึ้น มองค์ วองทูส์ ซึ่งเป็นภาพแปลกประหลาดที่ชินตากันแล้วในปัจจุบัน การที่แลนซ์ มีความจำเป็นที่จะต้องปั่นด้วยรอบขาสูงทั้งนี้เนื่องจากเขาใช้ EPO ที่เป็นสารกระตุ้นในการเพิ่มเม็ดเลือดแดงในตอนนั้น และเพื่อที่จะให้ระบบนี้มีประสิทธิภาพสูงเขาต้อง สร้างกิจกรรมที่เอื้อต่อระบบนี้ นั่นคือ การใช้รอบขาสูง ๆ อาศัยปริมาณเม็ดเลือดแดงที่มากผิดปกติ เป็นขนส่งออกซิเจนสู่กล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสารประเภทนี้ไม่ได้ทำให้เรามีกำลังสูงเพิ่มขึ้น เพียงแต่ความล้าที่เกิดจากการขนถ่ายออกซิเจนไม่ทันจนเกิดกรดแลกติกสะสมนั้นจะเกิดขึ้นช้ากว่านักปั่นอื่น ๆ ที่มีไม่การดัดแปลงร่างกายด้วยวิธีเช่นนี้ แลนซ์ซึ่งโดยปกติไม่ใช่คนที่มีประวัติในการปีนเขาได้ดี มีกำลังไม่มากเท่าจึงต้องอาศัยรอบขาสูง ๆ เข้าสู้กับเขาผ่านความได้เปรียบของ Lactace Threshold  ที่ถูกปรับให้สูงขึ้น

นี่เป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก 7 ปีที่หายไปของประวัติศาสตร์ตูเดอร์ฟรองค์ แม้ว่าแลนซ์จะถูกปลดชื่อออกแต่ในช่วงเวลานั้น ไม่มีใครในรายการที่ไม่ถูกปลดชื่อ ซึ่งนั่นหมายความว่าแลนซ์ก็คงยังเป็นผู้ชนะในเวทีที่ทุกคนเท่าเทียมกันอยู่ดี แม้ว่าความโด่งดังของแลนซ์น่าจะทำให้เขาได้เปรียบที่จะได้หมอที่มีความเชี่ยวชาญมากที่สุด และทีมที่สามารถเสริมความได้เปรียบของเขามากที่สุด การกลับมาในปี  2009 ของแลนซ์ที่แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะเพื่อนร่วมทีมที่ภายหลังก็ถูกจับโด้ปได้อย่าง คอนทาดอร์  นั่นแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีทั้งหลายที่เราเข้าใจอยู่ในปัจจุบันนั้นใช้งานได้จริง ๆ ความที่ผมและอำนวย เป็นนักกีฬาคนอึด แต่ตุ๊เป็นเพียงคนอึด ทำให้ผมและอำนวยมี Lactate Threshold ที่สูงกว่า เมื่อเอาร่วมกับทักษะการปั่นที่ดีกว่า เราก็ค่อย ๆ ทิ้งตุ๊ออกไปทุกทีทุกที แม้ว่าเขาปั่นขึ้นเขาในระยะทาง 30km สุดท้ายที่ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชม. จะไม่มีช่วงชัน ๆ เกิน 15% อยู่เลย มีเพียงทางขึ้นเนินยาว ๆ ไปเรื่อย ๆ แบบไม่สิ้นสุด Lactate Threshold  ที่สูงกว่าสามารถทำให้เราคงความเร็วที่สูงกว่า และทิ้งระยะได้โดยไม่ต้องลุ้นให้ตุ๊เข็น ซึ่งในระยะทางขึ้นจากฝั่งนี้ตุ๊บอกกับเราว่าเขาไม่ต้องลงเข็นเลย

1621733_690157397674389_801519742_n

เมื่อถึงใกล้บริเวณยอดเขาผ่านอ่างเก็บน้ำเล็ก ๆ ผมคิดในใจว่าพรุ่งนี้น่าจะต้องพาครอบครัวเข้ามาเยี่ยมชมบรรยากาศเขาใหญ่ยามเช้าสักเที่ยว เข้ามาจุดชมวิว แวะขึ้นมาถ่ายรูปที่อ่างเก็บน้ำเล็กน้อยก่อนที่เราจะลากลับกรุงเทพฯในช่วงสาย ๆ และเพื่อเป็นการเพิ่มความตื่นเต้น ผมจึงถือโอกาสแวะไปถ่ายรูปคอปเตอร์ที่จอดในบริเวณนั้น เพื่อเป็นตัวล่อให้ลูก ๆ ตื่นเต้นกับการตื่นเช้าขึ้นมาในเขาใหญ่ แม้ว่าทหารที่เฝ้าอยู่จะบอกว่าคอปเตอร์จะออกเดินทางกลับในเย็นนี้ เป้าหมายในการที่จะเก็บรูปไปหลอกล่อลูก ๆ นั้นได้สำเร็จลงแล้ว เมื่อปั่นถึงยอดผมกับอำนวยจอดรอตุ๊อยู่พักหนึ่ง แต่เราได้คุยกันแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องรอกัน ตอนนี้เราสายมากแล้ว จากที่วางแผนว่าจะปั่นเสร็จประมาณเที่ยงวันนี้ ตอนนี้เวลาประมาณบ่ายสองโมงเข้าไปแล้ว ตุ๊อาจจะต้องแยกกับเราที่หน้าด่านเพื่อไปเชคเอาท์โรงแรมของเขา ไม่ได้ร่วมปั่นกลับไปที่จอดรถอีก 7 km ผมกับอำนวยเห็นตรงกันแล้วก็ปั่นลงล่วงหน้าไปก่อน

ทางลงตามที่อำนวยบอกเล่ามาคือ จะค่อนข้างชันและมีการเลี้ยวหักศอกตลอดเวลา ทำความเร็วไม่ค่อยได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของเส้นทางชัน ๆ แบบนี้ แต่การที่มีทางเลี้ยวไปมาเยอะ ๆ มันก็ทำให้สนุกดี ผมไม่สามารถลงในท่าลู่ลมเหมือนลงฝั่งปราจีนได้ เพราะนอกจากจะมีทางหักศอกเยอะแล้ว ช่วงเวลานี้รถยนต์เริ่มมีปริมาณมากขึ้นจนเริ่มเสียว ท่าลงจึงเป็นการจับบริเวณ drop นิ้วแตะเบรค ที่ความชันขนาดนี้การแตะเบรคเมื่อมืออยู่บน Hood นั้นเริ่มจะมีกำลังไม่เพียงพอที่จะชะลอจักรยานได้อีกแล้ว แม้ว่าความรู้สึกโดยรวมจะสนุกและตื่นเต้นดี แต่ผมโดยนิสัยแล้วไม่ค่อยชอบมากนักเนื่องจากจะต้องมีสมาธิค่อนข้างสูงในการลงที่ความเร็วสูง ๆ บนถนนเลี้ยวไปมา พร้อม ๆ กับรถยนต์จำนวนมาก ทำให้บางครั้งผมรู้สึกเครียด ๆ ผมชอบมากกว่าที่จะปั่นชิลล์ ใจลอยดูวิวว์บ้างเป็นบางครั้ง แต่เส้นทางลง 15 กม. นี้จบลงภายในเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งเฉลี่ยเข้าจริง ๆ แล้ว 30 km/hr ช้ากว่าปั่นทางเรียบเสียด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าผมเครียดกว่าที่รู้สึกค่อนข้างเยอะทีเดียว ผมทิ้งอำนวยลงมาก่อนไม่กี่นาทีที่หน้าด่านปากช่อง เรารอตุ๊อีกไม่น่าจะเกินสิบนาที ก่อนที่จะแยกย้ายกับตุ๊ แล้วเหลือเพียงอำนวยและผมปั่นกลับไปที่ลานจอดรถของโรงแรม ที่จุดเริ่มต้นของเรา เราทำระยะทางได้ใกล้เคียงเป้าหมายคือ 107 km กิจกรรมของเราสิ้นสุดที่เวลาประมาณบ่ายสามโมงช้ากว่าแผนที่วางไว้ประมาณสามชั่วโมง

L1060167

เวลากว่า 7 ชั่วโมงบนสองกำลังขาข้ามฝั่งเขาใหญ่ ทำให้เราได้สัมผัสความสวยงามของธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้งอย่างบอกไม่ถูก ช่วงเขาที่ไม่ถูกแสงระหว่างวัน ทำให้เราเข้าใจว่าป่าไม้สร้างความเย็นให้กับโลกของเราได้มากแค่ไหน เมื่อเทียบกับฝั่งที่โดนแสงแดดกลางเที่ยงวัน ที่ทำให้เราเข้าใจพลังความร้อนของดวงอาทิตย์ ต้นกำเนิดของชีวิตบนโลก เราปั่นผ่านเส้นทางข้ามหุบ ข้ามเขา ระยะทางร่วม 100 km ด้วยความเร็วที่พลังของมนุษย์จะกลั่นออกมาจากระบบย่อยสลายทางชีวภาพจะทำได้ ความเร็วที่สัมผัสได้ด้วยสายลมที่ปะทะใบหน้า ความเร็วที่เชื่องช้าเพียงพอที่จะบ่งบอกถึงความลาดชันและความยิ่งใหญ่ของขุนเขา  เราสัมผัสความเย็นตั้งแต่ 16C เรื่อยไปจน 34C บนพื้นป่า ที่โยงบนถนนเล็ก ๆ เส้นเดียวกัน ความรู้สึกผ่านรูขุมขนบนผิวหนัง ไม่ใช่แผ่นโลหะสองชิ้นที่เกิดความต่างศักย์แล้วอ่านเป็นตัวเลขบนหน้าจอ กลิ่นของป่าเขา มูลช้าง มูลลิง ผสมกับไอแดด เราสัมผัสได้อย่างช้า ๆ ในความเร็วที่สมองของมนุษย์จะซึมซับสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ได้ทัน ผมไม่ใช่นักธรรมชาติวิทยาที่จะเข้าใจอะไรลึกซึ้งไปกว่า คำว่า “ป่าเขาคือชีวิต” และนี่น่าจะเป็นความจริงที่มนุษย์โลกไม่อยากจะยอมรับ เป็น inconvenient truth เมื่อการพัฒนาถูกนิยามด้วยการตัดไม้ทำลายป่า และความล้าหลังเป็นนิยามของป่านั่นเอง ผมเชื่อว่าเวลาเพียง 7  ชั่วโมงของชีวิต น่าจะทำให้หลาย ๆ คนที่ได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้เหมือนพวกเรา เข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้ง และผมไม่เชื่อว่าการนั่งรถขึ้นมาชมความสวยงามเช่นนี้จะทำให้เขาเหล่านั้นเข้าใจได้อย่างที่พวกผมเข้าใจ เพราะผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความเข้าใจที่แท้จริงนั้นต้องเริ่มจากความรู้สึกภายในของแต่ละคน ผมไม่แน่ใจว่าในปีต่อไปจะมีใครเข้าร่วมทรมานบันเทิงกับผมบ้าง แต่ผมมั่นใจว่าเวลา 20 ชั่วโมงของชีวิตที่จะใช้ไปบนเขาใหญ่ ตลอดเวลาทั้งสองวัน จะเปลี่ยนแปลงเขาเหล่านั้นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และจะเป็นแรงผลักดันให้เขาช่วยกันทำให้โลกเราน่าอยู่มากขึ้น อย่างแน่นอน

 

 

Khao Yai SufferFest Day One : เขาใหญ่ทรมานบันเทิง วันแรก

กิจกรรมบันเทิงในวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ ทั้งในรูปแบบกิจกรรมและชื่อกิจกรรม แต่ความน่าจดจำไม่แพ้เรื่องราวอื่น ๆ ในชีวิตของผมเลยทีเดียว จริง ๆ แล้วชื่อกิจกรรมนั้นเกิดจากความรู้สึกจากก้นบึ้งของจิตใจของผมในระหว่างทำกิจกรรมนั้นอย่างไม่มีคำอื่น ๆ ใดจะสามารถมาทดแทนได้ เขาใหญ่ทรมานบันเทิงนั้นประกอบด้วยกิจกรรมหฤโหดต่อเนื่องกันสองวัน ในวันแรกคือการแข่งขัน The Northface 100 ที่ผมเข้าร่วมในระยะ 50km และวันที่สองคือการปั่นจักรยานข้ามเขาใหญ่จากด่านปากช่องไปยังด่านปราจีนฯและย้อนกลับมายังด่านปากช่องอีกครั้ง ระยะทางรวมตามเป้าหมาย 110Km แต่ไม่น่าเชื่อว่ากิจกรรมที่ใช้เวลารวมกว่า 20hr แบบนี้ เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ

The Northface 100 : Struggling to the finish line

ก่อนที่จะอ่านเลยไป โด่งได้ทำคลิป Teaser เอาไว้ให้ดูตรงนี้ครับ

ผมเคยร่วมแข่งขันในรายการนี้ครั้งแรกในปีที่ผ่านมาในระยะทาง 25km ด้วยเวลาที่น่าพอใจ วิ่งบนเส้นทางป่าเขาด้วย Vibram Fivefingers การท่องเที่ยวพักผ่อนในพื้นที่เขาใหญ่ สร้างบรรยากาศที่มีความสุขที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมคงกลับไปอีกครั้ง แต่ในปีนี้กลับเป็นเพชร สมาชิกเซเลปรายล่าสุดของทีมเราสมัครเข้าร่วมรายการเป็นคนแรก แล้วอ้างว่าเป็นผลจากการสะกดจิตจากผมที่เป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งของทีม V40 ของเรา ผลจากการสมัครของสมาชิกมือใหม่ที่เพิ่งเพิ่มระยะวิ่งเป็น half marathon เป็นครั้งแรกสร้างแรงกดดันให้ผมมากเพียงพอที่จะทำให้ผมมีความสนใจที่จะสัมผัสกับระยะ 50Km เป็นครั้งแรกของชีวิต ผมจึงวางแผนชวนโด่ง ตุ๊ และหมอนก สามคนที่ผมมั่นใจว่าจะไม่ปฏิเสธผมแน่ ๆ แม้ว่าผมจะต้องใช้การหลอกล่อเรื่องการถ่ายวีดีโอเข้ามาเพื่อให้โด่งตัดสินใจ แต่ลึก ๆ ผมก็รู้ว่าโด่งก็อยากจะลองสัมผัสระยะทางนี้ร่วมกับเพื่อน ๆ เช่นกัน หลังจากที่ทุก ๆ คนที่กล่าวมาจะผ่านระยะ 42.195 km มาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก (ยกเว้นตุ๊ที่ผ่านมาแล้วหลายครั้ง) ในวันแข่งที่จะถึงนั้นมีเพียงผมที่จะมีความพร้อมน้อยที่สุดเนื่องจากไม่เข้าร่วมแข่งขันกรุงเทพมาราธอนร่วมกับคนอื่น ๆ

IMG_4063

เมื่อเวลาการแข่งขันใกล้เข้ามา ผมเริ่มการซ้อมค่อนข้างช้าเนื่องจากพักผ่อนจากรายการหลักอย่าง Challenge Phuket ผมวางแผนซ้อมไม่กี่สัปดาห์ล่วงหน้าแต่จากประสบการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น ผมก็สามารถทำระยะ 30km ได้ถึงสองครั้งระหว่างการซ้อม อย่างไรก็ตามก็มีเรื่องน่ากังวลใจที่เกี่ยวกับหลังของผมเล็กน้อย เพราะหลังจากระยะทางประมาณ 25K หลังของผมจะมีอาการตึง ๆ เล็กน้อย ผมจึงเจตนายกเว้นระยะ 40km ที่วางแผนไว้ในตารางซ้อม และตั้งเป้าหมายการวิ่ง 50Km ครั้งนี้แบบเบา ๆ โดยใช้ระบบ Run-Walk ซึ่งผมเริ่มเอามาใช้ตั้งแต่ในการซ้อมยาวที่ระยะ 30km ทั้งสองครั้ง ผมทดลองทั้ง 2:30/1:00 และ 4:00/1:00 ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี จากประสบการณ์ในสนามปีที่ผ่านมาผมคาดว่า Run-Walk 4:00/1:00 ที่ pace 6 น่าจะเป็นไปได้

ในการแข่งขันครั้งนี้มีอุปกรณ์ภาคบังคับหลายชิ้นที่ผมต้องจัดหามาใหม่ ตั้งแต่เป้น้ำ 2L และไฟฉายคาดหัว ซึ่งผมถือโอกาสทำการทดสอบชุดและอุปกรณ์ทั้งหมดในการซ้อมยาวครั้งสุดท้ายของผมเรียบร้อยแบบไม่มีปัญหา เรานัดเจอกันในวันลงทะเบียนเพื่อไปฟัง race briefing ซึ่งผู้บรรยายค่อนข้างขู่เอาไว้เยอะ ผมเองไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะคุ้นเคยว่าผู้บรรยายคนนี้พูดจาเกินจริงเสียส่วนใหญ่ เช้าวันแข่งผมเตรียมอาหารและอุปกรณ์มาที่จุดเริ่มต้นตั้งแต่ตีสี่ แต่สภาพเส้นทาง การจอดรถ และความยุ่งเหยิงของจุดเริ่มต้น กับสิ่งที่ไม่ตรงกับที่ผู้บรรยายได้นัดแนะเอาไว้ ทำให้ผมไม่มีเวลาที่จะวอร์มเรียกเหงื่อเล็ก ๆ อย่างที่ผมต้องการ เมื่อถูกเกณฑ์เข้าเส้นสตาร์ทผมจึงพยายามหาเพื่อนร่วมทีมเพื่อที่จะร่วมถ่ายรูปและออกวิ่งไปด้วยกันอย่างน้อย ๆ ในระยะเริ่มต้น เมื่อเสียงปล่อยตัวดังขึ้นเราก็ค่อย ๆ คืบคลานออกไปในความมืด เป็นครั้งแรกที่ผมวิ่งในสภาวะมืดสนิท อาศัยเพียงแสงไฟจากไฟฉายที่อยุ่บนหัว ทำให้เข้าใจว่าการทำงานของระบบร่างกายมันน่าพิศวง ประกายไฟช่วงสั้น ๆ ที่กระทบพื้นส่องสว่างพื้นที่เล็ก ๆ เบื้องหน้าระยะเวลาเพียงพอที่จะให้สมองจดจำเพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งการวางเท้า ก้าวแล้วก้าวเล่า นักวิ่งเทรลระดับโลกที่ชอบซ้อมกลางคืนได้เคยกล่าวว่า ในการวิ่งตอนกลางวัน เขามองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แต่ในเวลากลางคืนนั้นเขาเห็นเพียงเบื้องหน้าระยะเพียงพอให้เท้าเขาสัมผัสพื้นเพียงเท่านั้น ทำให้เขามีสมาธิในการวิ่งและให้อารมณ์วิ่งของเขามากกว่าที่กลางวันจะให้ได้ ผมเริ่มเข้าใจคำพูดของเขา เราวิ่งเพลิน ๆ ตามความเร็วที่ผมกำหนดเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มีหลงทางกันบ้างพอให้ได้ตื่นเต้น ก็อย่างว่า เรามองอะไรไม่เห็น ได้แต่วิ่งตามคนข้างหน้าไปอย่างไม่ต้องคิด ระยะทาง 12km แรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว

IMG_3906

ในช่วงแรกนั้น แม้ว่าโด่ง หรือตุ๊ เองจะมีบ่นบ้างว่าวิ่งสี่นาทีเดินหนึ่งนาทีดูเหมือนว่าจะเหนื่อยนะ เปลี่ยนเป็นวิ่งหนึ่งเดินสี่จะดีหรือเปล่า แต่ทุกคนก็บ่นแบบทีเล่นทีจริง คงมีเจตนาจะหยอกล้อผมที่ทำหน้าที่คุมเวลาให้ทีมของเราทั้งสี่คน ตั้งแต่ กม. ที่ 10 เป็นต้นมาเส้นทางเริ่มเป็นการขึ้นเขาเรื่อย ๆ มีวิ่งลงบ้าง โด่งเริ่มบ่น ๆ ว่าเจ็บเข่า เหมือนกับทุก ๆ ครั้งในช่วงหลังที่โด่งบ่นเจ็บเข่าในช่วงซ้อม แต่สัญญาณที่ไม่ค่อยดีเริ่มเกิดขึ้นกับผม หลังผมเริ่มรู้สึกตึง ๆ แปลบ ๆ บริเวณหลังล่างด้านซ้าย ขณะวิ่งลงเขา แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะยังไม่ทันรู้สึกชัดก็ถึงจังหวะเดินของเรา บางครั้งจังหวะวิ่งที่เป็นเนินเสียส่วนใหญ่ที่ระยะนี้ผมก็ไม่รู้สึกเท่าไรนัก ผิดกับโด่งที่บ่นเจ็บเข่าถี่ขึ้นทุกทีทุกที และเริ่มร้องขอให้หยุดเดินก่อนที่จะครบสี่นาทีตามที่เราตกลงกันไว้ ตุ๊เริ่มล้อว่าโด่งต้องการที่จะ “โด่ง” หรือไม่ ตามศัพย์แสลงของทีมสำหรับคำว่า DNF แต่โด่งยังสามารถกัดฟันตามพวกเราไปได้เรื่อย ๆ

IMG_3892

แต่ในที่สุดประตูสู่นรกก็ได้แง้มเปิดขึ้นเมื่อถึงจังหวะวิ่งอีกครั้ง แต่ผมกลับเจ็บแปลบจากหลังส่วนล่างพุ่งขึ้นกลางแผ่นหลังแล้วร้าวลงขา ผมต้องหยุดในทันทีพร้อมอุทานว่า “เห้ย วิ่งไม่ได้แล้วว่ะ” เพื่อน ๆ ไม่ค่อยเห็นผมบ่นเท่าไรนัก ได้ยินดังนั้นจึงบอกว่าให้เราเดินสักพักก่อนมั้ย ผมจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นเดินเร็ว และคอยสำรวจเป็นพัก ๆ ว่าผมเริ่มเหยาะได้หรือยัง แต่ดุเหมือนว่าอาการเจ็บจะเกิดทุกครั้งที่มีการกระแทกของเท้าลงบนพื้น และจะค่อนข้างเจ็บมากเมื่อต้องลงเขา ในเวลานี้ตุ๊เริ่มแซวบ่อยขึ้นว่าจะ “โด่ง” กันมั้ย ที่ CP ถัดไประยะ 20K ผมไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจผมคิดเหมือนทุกครั้งที่เกิดปัญหาระหว่างแข่ง และคงเหมือนกับหลาย ๆ คน คือ ถ้าเราเลิกตอนนี้ ความเจ็บปวดนี้ก็จะจบสิ้นลง ผมตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนทุกครั้ง แต่ผมไม่เคยให้คำตอบนี้กับตัวเอง ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาในกีฬาคนอึด และผมบอกตรงนี้เลยว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ผมมั่นใจว่าการแข่งขันครั้งนี้คงจบลงแล้ว ผมไม่สามารถวิ่งได้อีกแน่นอนในวันนี้ มันอยู่ที่ผมจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อถึง CP 20k

1610037_10152015334794755_1709990689_n

ณ เวลานั้น ผมเริ่มเปรย ๆ กับเพื่อน ๆ ว่าผมน่าจะวิ่งไม่ได้แล้ว คิดว่าทิ้งผมกันไปก่อนได้ แต่ผิดคาด จากความเร็วที่เราทำมาก่อนหน้า กับเส้นทางที่ค่อนข้างจะเป็นเขาสูงชัน ณ เวลานั้น ไม่มีใครตอบอะไร หมอนกบอกว่าหลังเป็นเรื่องสำคัญอย่าฝืน ให้เดินก่อนดีกว่า ส่วนโด่งดูเหมือนจะโล่งใจ แล้วก็บอกว่ากูขอเดินก่อนเจ็บเข่า ส่วนตุ๊เองก็ดันมาบ่นเจ็บขา (มุขเดิม ๆ ซะงั้น) ยังไม่มีใครตัดสินใจทำอะไร ผมได้แต่เดินเร็ว ๆ ไม่ช้าไม่นานแสงสีทองก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นลับ ๆ ขอบฟ้า พวกเราค่อย ๆ เห็นทุ่งกว้าง เวิ้งว้างอยู่กลางหุบเขา ทุกคนลืมความเจ็บปวด และกิจกรรมที่ทำอยู่ชั่วขณะ กุลีกุจอ ควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป โพสเฟส โพส IG กันอย่างอิ่มหนำ ผมนอกจากจะทำการถ่ายรูปด้วย iPhone แล้วยังถือโอกาสเอากล้อง GoPro ออกมาบันทึกภาพเคลื่อนไหวอีกด้วย เราเดินร่วมกันขึ้นเขาช่วงที่สูงชันที่สุดประมาณ กม. ที่ 14 ภาพของกลุ่มคนจำนวนมากเดินเรียงกันขึ้นภูเขาที่ส่วนใหญ่เป็นหิน มีซากการถูกเผาทำลาย ไม่แน่ใจว่าเกิดจากฝ่ายจัดการแข่งขันหรือไฟป่าธรรมชาติ มันช่างดูดุเดือด โหดร้าย เราเสียเวลาบนยอดเขาลูกนั้นอีกพักใหญ่เพื่อเก็บภาพร่วมกัน หลังจากลงเขาลูกนั้น เราก็ไม่พูดถึงเรื่อง “โด่ง” กันอีกเลย เราทั้งหมดคงตองมนต์สะกดของเขาใหญ่เข้าให้เสียแล้ว

หมอนกหลังจากที่ใช้เวลาเดินกับเรามาร่วมชั่วโมง เมื่อฟ้าเริ่มเปิด เส้นทางเริ่มกว้าง เราก็เห็นหลังหมอนกเป็นครั้งสุดท้าย มันช่างเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับผม ในทุก ๆ คราวที่ผมมีปัญหาบาดเจ็บ ไม่สามารถบังคับร่างกายได้อย่างที่หวัง ก็มีเพื่อนคนนี้แหละที่วิ่งนำแบกเอาความฝันของผมไปให้ ภาพเจนตานี้ค่อยห่างไปทีละก้าวละก้าว ผมรู้แน่ว่าวันนี้จะมีใครบางคนในทีมของเราที่ไม่ “โด่ง” อย่างแน่นอน ส่วนที่เหลือนะเหรอ ไม่มีใครทำท่ากระดิก ไม่มีใครบอกลา และไม่มีใครตาละห้อย ราวกับว่ารู้ชะตากรรมของตัวเอง และฝากวิญญาณของเขาไปกับร่างเล็ก ๆ ร่างนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานี้แต่ละคนเริ่มหยิบคว้าเอาท่อนไม้มาทำไม้เท้ากันแล้วค่อย ๆ เดินกันต่อไป ต่างก็เปรย ๆ กันว่ามีไม้นี่มันช่วยได้เยอะเลยนะเนี่ย ส่วนผมเองหาไม้ที่ถูกใจไม่ได้เสียที จนกระทั่งตุ๊ยกไม้ของเขามาให้ผม มันเข้ามือผมอย่างมาก และผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะอยู่ร่วมกับผมจนกระทั่งเข้าเส้นชัยในวันนั้น

IMG_3903

ในตอนนี้ตุ๊ไม่บ่นเจ็บอีกแล้ว บ่นแต่ว่าถ้าเราเดินกันแบบนี้คงไม่ถึงกันง่าย ๆ แน่ ลองวิ่งกันดูหน่อยมั้ย ผมลองดูหน่อยตามที่ว่า แต่ตุ๊กลับบอกกลับมาว่าขอให้หยุดเหอะ ดูแล้วน่าเกลียดกว่าเดินเยอะเลย และแล้วเราก็เดินกันต่อไปเพื่อเข้า CP 20k ไม่มีใครเอ่ยถึงการ “โด่ง” ผมไปหาอาหารกิน เพราะทางผู้จัดบอกว่าจะมีกล้วย แต่บังเอิญที่เราเดินกันเร็วไปหน่อย กล้วยที่เตรียมไว้จึงสุกไม่ทัน ผมหยิบแตงโมกินหลายชิ้น ยืนยืดเส้นสาย บรรเทาความเจ็บปวดที่หลังของผมที่ตอนนี้นั้น ไม่สามารถก้มลงได้แม้แต่น้อย ผมพยายามถอดรองเท้าเพื่อที่จะขจัดกรวดทรายที่หลุดรอดเข้าไป ในใจก็คิดถึงว่าทำไมมีหลาย ๆ คนใส่ปลอกคลุมรองเท้าเอาไว้ ผมกรอกน้ำเพิ่มลงในเป้น้ำของผม ไฟฉายถูกเก็บลงกระเป๋าไปนานแล้ว ผมแอบมองดูถุงอาหารที่ผู้จัดวางไว้ พยายามเดาว่าถุงไหนน่าจะเป็นของหมอนก ราวกับว่าถ้าผมเห็นอาหารของหมอนกแล้วจะพอเดาได้ว่าหมอห่างเราไปนานเท่าไรแล้ว ตอนนี้เราใช้เวลาไปแล้วถึงสามชั่วโมง เวลาแปดโมงเช้าบนเขาใหญ่แม้ยังไม่ร้อน แต่ท้องฟ้าที่ไร้เมฆเช่นนี้ ให้คำสัญญากับเราแล้วว่าวันนี้คงไม่ใช่วันธรรมดาของชีวิต

เราค่อย ๆ คืบคลานไปบนเส้นทางที่เขจัดไว้ให้ ช่วงประมาณ กม. ที่ 25 ก็เริ่มเป็นช่วงเขาอีกรอบ และเป็นเส้นทางที่ทรมานจิตใจเสียเหลือเกิน เราเดินกันมาแล้วร่วมสี่ชั่วโมง เส้นทางถูกจัดให้เป็นทางขึ้นไปบนเขาแล้วกลับออกมา ณ ตำแหน่งเดิม หลายคนออกมาแล้วบอกกับเราว่าบนเขานั้นไม่มีจุดเชคพอยท์อีกแล้ว เราจะยังสามารถรับรางวัลในวันนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปขึ้นเขา ตุ๊เริ่มเปรย ๆ ว่าเราไม่ต้องเข้าไปก็ได้มั้ง ผมพยายามทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วรีบ ๆ เดินหน้าเข้าไป ผมรู้ดีว่าในเวลาที่เราอ่อนล้า เจ็บปวดและเหน็ดเหนื่อยอย่างนี้ การคิดสั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เส้นทางภายในหุบเขาที่สองนั้นประมาณ 7 กม. ซึ่งต้องใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงเศษ แต่เขานั้นมันช่วงเลวร้าย ทั้งในแง่ความความชัน ความร้อน และในแง่ของความรู้สึกเสียรู้ที่ในท้ายที่สุดแล้วเาก็จะต้องกลับไปที่จุดเดิมเมื่อกี้อีกครั้ง หลังจากอีกหนึ่งชั่วโมงของความทรมานนี้ผ่านไป ใช่แล้ว ถึงตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไร “ทรมาน” คำนี้ผุดขึ้นในใจผม ผมสบถขึ้นมาดัง ๆ วันนี้มันช่างทรมานจริง ๆ ณ เวลานี้ ผมเริ่มวิ่งกระหย่องกระแหย่งเป็นพัก ๆ ทีมสามคนของเราแตกเป็นช่วง ๆ โดยมากผมจะเป็นฝ่ายนำขึ้นไป แล้วสองคนหลังค่อย ๆ ตามมาจนทัน โด่งเริ่มมีอาการเข่าที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นมาก ดุเหมือนว่าการเดินลงเขาแทบจะทำไม่ได้เลย ต้องเดินกรรเชียงปูลงมาบ้าง เดินถอยหลังบ้าง ผมก็อาศัยช่วงเวลาที่หยุดรอโด่งมายืดกล้ามเนื้อหลังไม่ให้เกิดการ collapse ขึ้น เพื่อ ณ ตอนนี้ ผมเริ่มมีอาการเข่าอ่อน หลังพับ เป็นพัก ๆ นั่นเป็นอาการของหลังที่พยายาม shut down ตัวเอง แต่ผมยังหลอกให้มันทำงานต่อไป

1779094_724087977609912_1255551634_n

เราเดินกลับออกมา ณ จุดเดิมอีกครั้ง ตอนนี้เราผ่านมาแล้ว 34 km จากที่คาดว่าโด่งอาจจะ “โด่ง” ที่ตรงนี้ แต่หลังจากประสบการณ์ “โด่ง” ในคราวที่ผ่านมาจนเป็นที่มาของคำว่า “โด่ง” โด่งบอกว่าจะไม่มีวันทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง แต่สำหรับผมเองนั้น แม้ว่าเพื่อน ๆ จะไม่รู้เลยว่าในใจผมคิดอย่างไร ผมเองนั้นก็ต้องต่อสู้กับตัวเองเป็นอย่างมากเพื่อที่จะไม่ DNF ในช่วงเวลาที่ตกอับเป็นที่สุด ในเวลาที่ต้องยอมรับว่าผมจะวิ่งอีกไม่ได้แล้วในวันนี้ แล้วเวลาที่เหลือคือการเดิน เราจะผ่านเส้นทางนี้ด้วยการเดินหรือไม่ เราจะหลอกตัวเองได้ไหมว่าเรามารายการนี้เพื่อที่จะวิ่ง 50k ถ้าจำเป็นต้องเดินเราจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร หรือเราต้องบอกตัวเองว่าเรามาเพื่อที่จะทำวันนี้ให้สำเร็จ ถ้าวิ่งไม่ได้ก็เดิน ถ้าเดินไม่ได้ก็ต้องคลาน เราจะเลือกเส้นทางเส้นใด หลาย ๆ คนคงจะมองเห็นว่าผมเป็นคนอึดและอดทน คงไม่มีวันยอมแพ้ ประสบการณ์แข่งขันร่วม 20 ปีที่ไม่เคย DNF คงหล่อหลอมผมให้เป็นคนที่แพ้ไม่เป็น แต่ไม่ใช่เลยประสบการณ์เช่นนี้ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อกำลังใจเป็นอย่างมาก หลาย ๆ ครั้งที่ผมคิดว่า 20 ปีที่ผ่านมาเราทำได้มาตลอด วันนี้จะเป็นครั้งแรกมันไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร หลังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้แต่หมอนกยังบอกว่าอย่าฝืน นี่ผมฝืนมาร่วมห้าชั่วโมงแล้ว เลิกตอนนี้คงไม่เป็นไร แต่จนแล้วจนเล่าผมก็ยังเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งมาค้นพบคำว่า “ทรมาน” ที่มาช่วยชีวิตผมไว้

เรากลับมาที่จุดเดิม 34km ซึ่งเป็นร้านขายของชำเล็ก ๆ เราเดินเช้าไปหลบแดด พักผ่อน ผมเดิมน้ำในเป้อีกครั้ง หยุดกินแตงโมจำนวนมาก กล้วยเริ่มสุกบ้างแล้ว ผมเลือกกินเล็กน้อยเพราะกลัวจะย่อยลำบาก ปวดท้องขึ้นมาจะยุ่งไปกันใหญ่ พักผ่อนกันหนำใจแล้ว เราก็มุ่งเกินเดินต่อไป ผมไม่มั่นใจว่าทำไมตุ๊ยังเดินอยู่กับพวกเรา ตอนนี้ตุ๊ไม่มีอาการเจ็บเหมือนคนอื่น ผมวิ่งย่อง ๆ เป็นพัก ๆ เดินเป็นพัก ๆ ส่วนโด่งที่ดูเหมือนว่าเริ่มเจ็บมากขึ้นก็ถูกทิ้งระยะห่างมากขึ้น ผมกับตุ๊เดินคุยเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต เรื่องราวหนัก ๆ จิปาถะ แต่ไม่มีเรื่องการเมืองที่ร้อนแรงในเวลานี้เข้ามาในหัวของเราเลย เมื่อร้อนเหนื่อยมาก ๆ ผมก็จะบ่นว่าวันนี้มันช่างทรมานจริง ๆ แล้วความรู้สึกท้อแท้มันก็มลายหายไปเหมือนราวกับว่าการยอมรับโดยดุษฎีว่าชีวิตนี้มันคือทุกข์ คือการค้นพบทางออกของชีวิตนั่นเอง การยอมรับว่าเรากำลังทรมานเป็นการรับรู้ว่าชีวิตเรากำลังเดินต่อไป

IMG_3933

เรามาเจอด่านทดสอบกำลังใจอีกครั้งในอีกหุบเขาหนึ่ง ประมาณ กม. 37 เราเห็นคนที่เดินออกจากหุบเขามาล้วนแล้วแต่มีใบหน้าไม่สู้ดี และเรารู้ว่าเราต้องเข้าไปเดินข้างในร่วมชั่วโมง เพียงเพื่อจะกลับมาที่เดิมตรงนี้อีกครั้ง คราวนี้ตุ๊เริ่มคุยกับเราซีเรียสมากขึ้น เป้าหมายที่จะสิ้นสุดการเดินทางของวันนี้ที่เวลาก่อนเที่ยงหมดไปแล้ว เราทะยอยโทรไปบอกกองเชียร์ให้ใช้เวลาท่องเที่ยวให้คุ้มค่า เพราะวันนี้คงไม่จบลงง่าย ๆ และยังคงอีกหลายชั่วโมงเราจึงจะกลับออกไปได้ ตุ๊เริ่มให้เหตุผลว่าเขาที่เราจะเข้าไปมันจะชัน และเหนื่อยมาก วันนี้เราได้พิสูจน์แล้ว ว่าเรามีใจที่สู้ เส้นทางมันโหดกว่าที่จะวิ่งได้ แล้วเราเองก็ไม่ได้วิ่ง ด้านในก็ไม่ได้มีจุดตรวจอะไร เราน่าจะเดินกลับกันที่ตรงนี้จะประหยัดเวลาไปได้เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ผมจำได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่ผมพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะตอนนี้กำลังใจผมดีขึ้นมาก ผมยอมรับแล้วว่าวันนี้จะไม่มีวันวิ่งได้อีก ผมรับรู้แล้วว่าวันนี้มันทรมาน และผมรู้แล้วว่าวันนี้จะสิ้นสุดลงในเวลาอีกสามถึงสี่ชั่วโมงข้างหน้า ผมพูดกับเพื่อน ๆ ว่า ถ้าเราเดินลัดในวันนี้ มันก็เหมือนกับการคอรับชั่นนั่นแหละ ทำไปอาจจะไม่มีใครรู้ ไม่มีใครจับได้ หรือคนที่รู้อาจจะไม่ได้ใส่ใจ แต่เรานี่แหละจะต้องอยู่กับวันนี้ไปตลอดชีวิตของเรา นี่เป็นครั้งเดียวที่ผมวกเข้าเรื่องการเมือง และผมคิดเช่นนั้นจริง ๆ ผมไม่ได้ใช้ชีวิตในวันนี้ หรือวันไหน ๆ เพื่อการยอมรับ หรือการแสดงออกเพื่อใคร ๆ ผมเดินทางในวันนี้ และในทุก ๆ วันในชีวิตเพื่อตัวของผมเอง และผมเองจะรู้เสมอว่าผมได้ทำอะไรลงไป แล้วเราก็เดินกระย่องกระแย่งเข้าไปในหุบเขานั้น เราเริ่มมองเห็นวิวสวย ๆ ในหุบเขา ความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะธรรมชาติ ถนนคอนกรีต บนยอดเขา ผ่ากลางสวนมะม่วง พืชสวนที่ขึ้นผิดที่ผิดถิ่น มองเห็นความอหังการ์ของมนุษย์ที่ตีเส้นสมมุติลงบนผิวโลกแล้วเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงสิทธิ์จอมปลอมเหนือเส้นสมมุติเหล่านั้น

เราลงมาจากเขาที่ควรจะทรมานที่สุดด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ผมตะโกนถามตลอดเวลาว่าเขานี้ชันที่สุดหรือยังเนี่ย ราวกับว่าชันกว่านี้มีอีกมั้ย ผมยังไม่ทรมานอย่างที่ผ่านมาเลยนะ ไม่ใช่แต่เพียงว่านี่จะเป็นหุบเขาสุดท้ายของวันนี้ CP 40k ตั้งอยู่เบี้องหน้า แต่เราออกมาพร้อมกับความรู้สึกน้อมรับถึงความต่ำต้อยด้อยค่าของมนุษย์ที่ต้องการครอบครองพื้นที่ใหญ่โต มากความความสามารถของตัวเองที่จะเดินได้รอบพื้นที่ผืนนั้น ความรู้สึกเริ่มต้นที่เห็นความสวยงามของวิว และอิจฉาบ้านหลังสวยตั้งขึ้นเพื่อชิงวิวที่สวยที่สุดบนยอดเขา กลายเป็นความเฉยชา ความรังเกียจในความเห็นแก่ตัวที่แย่งชิงสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นไว้เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว ทันใดนั้น ก็มีนักวิ่งวิ่งแซงเราไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือผู้นำของระยะ 100km ขณะที่เราเดินได้ 40km นักวิ่งคนนี้ทำระยะไปได้แล้ว 90km ตุ๊พยายามวิ่งไล่หลังไปได้พักใหญ่ ๆ ผมเริ่มเชื่อว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นเขา แต่แล้วก็พบว่าในที่สุดเขาก็มาหยุดรอเราอยู่ด้านหน้า แล้วบ่น ๆ ว่าตามไม่ทันเลยแม้แต่น้อย ช่างน่ามหัสจรรย์จริง ๆ ผมเริ่มคิดว่าเดี๋ยวเราคงโดนอีกหลาย ๆ คนตามมาทัน แต่ก็ไม่มีใครมาเสียที

หลังจากลงจากเขา ผมก็เริ่มวิ่งสลับเดินอีกครั้ง 1:1 วิ่งหนึ่งนาทีและเดินหนึ่งนาที เราแวะที่ CP 40k พักใหญ่ หลังจากนั้นก็เดินออกมาถ่ายรูปร่วมกันที่ระยะ 42km เพื่อรับรู้ว่าเวลาที่เหลือนี้ เป็นช่วงเวลาที่เราไม่เคยสัมผัส เพราะไม่มีใครเคยวิ่งเกินระยะมาราธอนมาก่อนในชีวิต แต่หารู้ไม่ว่า ณ เวลานี้เราเดินร่วมกันมากว่า 8 ชั่วโมงครึ่งแล้ว ผมเชื่อเหลือเกินว่า ไม่มีใครเคยเดินนานเท่านี้มาก่อนในชีวิตเช่นกัน ผมวิ่งสลับเดินและค่อย ๆ ทิ้งห่างเพื่อนทั้งสองออกมาช้า ๆ จากจุดนี้จะไม่มีเขาอีกแล้ว ค่อนข้างเป็นทางเรียบและเป็นถนนเสียส่วนใหญ่ สักพักโด่งก็ค่อย ๆ วิ่งมาทัน โด่งสามารถทำความเร็วได้มากกว่าผม ผมนั้นแม้ว่าจะอยู่ในท่าวิ่ง แต่ความเร็วไม่ได้ต่างจากเดินมากนัก หลังผมแทบจะใช้งานไม่ได้อยู่แล้ว ไม้เท้ายังต้องอยู่ในมือผมตลอดเวลา เพราะผมจำเป็นต้องใช้มันพยุงหลังของผมไว้ ในช่วงพักเดิน ผมกับโด่งค่อย ๆ ทิ้งห่างจากตุ๊ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเราก็มองไม่เห็นตุ๊อีก

IMG_3888

ที่ระยะ 44 กม. เหลือเพียง 6 km สุดท้าย แต่ด้วยความเร็วทรมานใจเช่นนี้ เรายังคงต้องอยู่บนท้องถนนกันอีกอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ผมเริ่มโทรไปบอกภรรยาชองผม คุยสารทุกสุกดิบ แฟนผมถามว่าจะถึงหรือยัง ผมก็เล่าให้ฟังเรื่องหลัง เรื่องที่วิ่งไม่ได้ และบอกว่าอย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมง วันนี้เริ่มต้นวันที่ตีสี่ ผมเริ่มวิ่งออกมาตั้งแต่ตีห้า ตอนนี้เวลาบ่ายสองโมงแล้ว อาการที่กินไปตอนเช้า มีขนมปังเล็กน้อย ระหว่างทางมีกล้วยนิดหน่อย แตงโมจำนวนมาก เจลอีกจำนวนนึง และอีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเส้นชัย ผมบอกภรรยากะเกณฑ์เวลา และนัดเวลาอาหารเย็นให้เร็วขึ้นเล็กน้อยเพราะคาดว่าหลังแข่งผมคงจะหลับอย่างรวดเร็ว ถึงจุดนี้ผมกับโด่งก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่วิ่งได้มากนัก การเดินเป็นระยะเวลาร่วมสิบชั่วโมงมันทำให้อ่อนล้าไม่ต่างจากการวิ่งเลย ขาของผมหนักอึ้ง ไม่รวมหลังที่เจ็บปวดจนบรรยายไม่ถูก แถมเจ็บแปลบ ๆ ที่มาเยือนเป็นระยะ ๆ เจ็บแบบเข่าอ่อนน้ำตากระเด็น ที่เขาว่ากัดฟันไม่ใช่เป็นเพียงคำเปรียบเปรย แต่เป็นความจำเป็นที่ผมต้องกัดฟันเอาไว้เป็นพัก ๆ เพื่อช่วยระงับความเจ็บปวด แผ่นยาตราเสือผมแปะใช้ไปหมดแล้วทั้งสองแผ่น ผมนึกถึงสเปรย์ฉีดที่ผมตัดสินใจทิ้งไว้ในโรงแรมในวินาทีสุดท้าย แต่ตอนนี้ผมเริ่มได้ยินเสียงของเส้นชัยมาแต่ไกลแล้ว นาฬิกาของผมบอกว่าเหลืออีกเพียง 2 กมเท่านั้น ผมแค่ต้องลุ้นว่า GPS ของผมคลาดเคลื่อนมากน้อยเท่าไร เส้นทางของผู้จัดแม่นยำแค่ไหน และเส้นทางที่เราวิ่งหลงนั้นมากน้อยเท่าไร ตอนนี้ 100-200  เมตรเป็นระยะทางที่ไกลกว่าที่ใจจะสามารถปัดเศษได้

IMG_3890

2 km สุดท้ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าผมกับโด่งจะยังสามารถ วิ่งเดินสลับอย่างละหนึ่งนาทีมาได้โดยตลอด นาฬิกาของผมบอกระยะ 50Km ไปแล้ว เหลือแต่ว่าระยะทางที่เหลือนั้นมันไกลเท่าไร ผมเห็นเส้นชัยแล้ว เวลาตอนนี้นักวิ่งแทบไม่เหลือแล้ว คนเชียร์ก็แทบไม่มีเหลือแล้ว เมื่อเข้าโค้งสุดท้ายผมก็บอกโด่งว่าเราน่าจะวิ่งไปตลอดนะ ไม่มีเดินอีกแล้ว แล้วทั้งสองก็กัดฟันกันเข้าไป เส้นชัยมันดูสวยงาม แต่ก็ไม่ได้สวยงามมากว่าเส้นชัยอื่น ๆ ที่ผมเคยเข้ามาแม้ว่าวันนี้ผมจะใช้เวลาไปถึงสิบชั่วโมงเต็ม ๆ กับระยะทาง 50km สิ่งแรกที่ผมวิ่งเข้าหาก็เป็นเต้นนวดและก็ไม่ผิดหวัง บริการนวดที่ครบสูตร ยาวนานจนในที่สุดตุ๊ก็วิ่งเข้าเส้นมานวดอยู่ในเตียงข้าง ๆ กัน ผมกับโด่งนวดเสร็จก่อนตุ๊เล็กน้อย ผมบอกลาตุ๊ เพราะพรุ่งนี้เราต้องเจอกันอีกครั้งสำหรับ เขาใหญ่ทรมานบันเทิง วันที่สอง

ผมกลับบ้านไปพบกับครอบครัว พาลูก ๆ ลงเล่นน้ำนิดหน่อยหลังจากที่อาบน้ำล้างเนื้อตัวเรียบร้อยแล้ว เย็นนั้นเราออกไปกินข้างเร็วตามที่ผมโทรมาจัดแจงไว้แล้ว อาหารเย็นวันนั้นเราสั่งมาแบบเต็มสูบ หลังจากอาการเจ็บหลังในช่วง 10-20km การเดิน 30km ให้หลังแม้ว่าจะมีแปลบ ๆ บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อสิ้นวันผมยังคงเดินเหิญได้ปกติ ก้มได้เล็กน้อยเพียงพอสำหรับการปั่นจักรยานในวันต่อไป อำนวยโทรมาถามไถ่เล็กน้อยว่าต้องการอะไรหรือไม่ ผมขอให้เขาแกเตอเรตให้ผมสักสี่ขวด คืนนั้นผมเข้านอนตามปกติ ไม่ได้เพลียหลับเร็วอย่างที่คิดไว้ ไม่ได้เหนื่อยล้าอย่างที่รู้สึกทรมาน เป็นความรู้สึกแปลก ๆ ผมรู้สึกแข็งแรงผิดปกติ ผมตั้งนาฬิกาปลุกที่ตีห้าครึ่งและเข้านอนประมาณเที่ยงคืน สำหรับวันที่ยาวนานนี้