จากบทความจักรยานเมื่อสัปดาห์ก่อนทำให้มีเพื่อนรักจักรยานเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย พอได้เรียนรู้ว่าการปั่นไปทำงาน หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า Bike Commute เนี่ย หลาย ๆ คนยังเริ่มไม่ถูกเลยซะทีเดียว การใช้จักรยานในการเดินทางประจำวันนั้น ไม่เหมือนกับการใช้รถยนต์ เราอาจจะปั่นจักรยานเป็นตั้งแต่อายุห้าขวบแต่การใช้ในการเดินทางนั้นมันเป็นละเรื่อง รถยนต์เริ่มขับไปหน้าถอยหลังได้ก็สามารถออกถนนได้แล้ว แต่จักรยานกลับเหมือนกับการขับเครื่องบินที่อาจจะใช้เวลาเพียง 40 ชั่วโมงก็ทำให้คุณได้ใบขับขี่แต่จะมีสักกี่คนที่กล้าบินเดี่ยว (ไม่งั้นเราจะมีศัพย์ว่าบินเดี่ยวหรอกหรือ)
การขี่จักรยานในท้องถนนจะว่าไปแล้วเหมือนกับการขี่เครื่องบินเป็นอย่างมาก เราต้องมีทักษะมากเพียงพอจึงจะเกิดความมั่นใจในการออกถนนคนเดียว (ปั่นในวันรณรงค์ หรือ Car Free Day ไม่ได้ใช้ทักษะนี้) นอกจากนี้การปั่นจักรยานในเมืองยังจะต้องมีการศึกษาเส้นทางไว้เป็นอย่างดีเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย ไม่ต่างไปจากนักบินที่ต้องวางแผนเส้นทางบินอย่างละเอียดก่อนทำการบิน แยกไหนเลี้ยวไปทางไหน ถ้าติดไฟแดงควรจอดตรงจุดใด และเริ่มออกตัวเมื่อไร บริเวณใดมีป้ายรถเมล์อันตราย บริเวณใดมีท่อจอมโหด จุดใดใกล้ทางแยกไฟแดงที่จะมีรถติด เพราะทันทีที่รถติดจะเริ่มมีสิงห์มอไซด์แทรกมาตามร่องที่เราปั่นมากขึ้น ทางใดมอไซค์ชอบสวน ทักษะเหล่านี้ใช้เวลาในการสะสม และใช้ประสบการณ์เฉพาะในการปั่น และนี่คือการปั่นจักรยานในชีวิตจริง เมื่อจักรยานเป็นเหมือนลมหายใจของเรา การกลั้นลมหายใจไว้เพื่อรอทางจักรยาน หรือแม้กระทั่งที่จอดจักรยานดี ๆ มันคงเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่ว่ามันไม่ใช่ลมหายใจของคุณ
อย่ามองผมผิดไปนะครับ ผมไม่ได้ต่อการการเรียกร้องทางจักรยาน หรือที่จอดจักรยานดี ๆ เพียงแต่มันเป็นลมหายใจที่กลั้นไว้ก็มีแต่แนวโน้มจะสิ้นไปเท่านั้น อีกอย่างผมเชื่อในการกระทำ เชื่อในกระบวนการ proactive การเรียกร้องหรือ complain จะมาก็ต่อเมื่อผมกำลังทำอยู่และกระทบโดยตรงกับผมเท่านั้น ผมคงไม่เรียกร้องให้รัฐบาลแจกลานจอดเครื่องบินเพียงเพราะผมอยากขับเครื่องบิน หรือมีเครื่องบินจะขับเท่านั้น ผมจะเริ่มเรียกร้องก็ต่อเมื่อผมเริ่มใช้เครื่องบินทุกวันและอยากจอดมันไว้ใกล้ ๆ บ้านผม เป็นต้น
ทีนี้ถ้าหากว่าเราอยากปั่นจักรยานไปทำงาน ซึ่งทักษะทั้งหลายคงต้องค่อย ๆ สะสมกันไปเรื่อย ๆ นั้น ในวันที่จะเริ่มปั่น เราจะทำอย่างไรได้บ้างที่จะทำให้การใช้จักรยานไปทำงาน หรือทำธุระอื่น ๆ เป็นไปด้วยความราบรื่น แน่นอนว่าเราสามารถใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ มาช่วยเหลือเราได้ และชีวิตจะง่ายขึ้นมาก ผมคิดว่าอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เหล่านี้มีความสำคัญต่าง ๆ กันไปในหลายระดับ ตั้งแต่ The Must, Nice to Have และอื่น ๆ นี่คืออุปกรณ์ต่าง ๆ ตามความเห็นของผม อันนี้ไม่รวมจักรยานพร้อมยางในและปั๊มลมนะครับ คุณต้องซ่อมปัญหาพื้นฐานของคุณให้ได้ก่อนถ้าอยากที่จะปั่นไปไหนมาไหนแล้วละก็
The Must : ขาดไม่ได้
1. Helmet หมวกกันน๊อก : เป็นอุปกรณ์สิ่งเดียวที่ผมคิดว่าขาดไม่ได้เลยในการปั่นไปทำงาน หมวกกันน๊อกช่วยชีวิตผมไว้หลายครั้ง ตั้งแต่สมัยที่ผมยังต้องอดข้าวเก็บเงินซื้อในราคาใบละ 1800 บาท ขณะที่จักรยานผมราคา 1400 บาท สมัยนี้มีหมวกกันน๊อกหลากหลายรูปแบบ รวมไปจนถึง commuter style ที่ผมคิดว่าการใช้รุ่นแบบนี้ก็เป็นการประกาศตัวได้ดีว่าเราปั่นจักรยานไปทำงาน ไม่ใช่ Bike Junkie ที่ใส่ Giro เท่านั้น
2. Tail Light ไฟท้าย : วันใดวันหนึ่งคุณต้องเจอกับสภาพอากาศไม่เป็นใจ ฟ้ามืดคริึ้ม เจ้านายลากงานจนโพล้เพล้ ไฟท้ายคุณภาพดี ๆ จะทำให้คุณมั่นใจไปอีกหลายขุม ว่าจะไม่มีใครจูบบั้นท้ายคุณเพียงเพราะมองไม่เห็นคุณ
3. Bike Lock ที่ล๊อกจักรยาน : ผมแนะนำอย่างน้อยคุณต้องมี cable typed lock พกติดจักรยานไว้ เพราะในสภาวะการจักรยานยังไม่ครองเมืองที่ล๊อกจักรยานแบบเฉพาะนั้นหายาก ไม่ต้องพูดถึงแบบดี ๆ ที่หลาย ๆ คนพยายามเรียกร้อง จะมีก็เพียงแต่ที่ล๊อกจักรยานเฉพาะกิจ คุณจะขอบคุณ cable lock ของคุณถ้ามันยาวพอที่จะคล้องจักรยานเข้ากับเสาไฟฟ้าได้ ถ้าคุณจะเพ่ิมความมั่นใจ ก็ค่อยคิดถึง u-lock เพิ่มอีกตัวหนึ่ง เมืองไทยยังไม่มีกฎหมายห้ามจอดจักรยานดังนั้น จอดให้มันกลางแจ้งที่สุด รถคุณก็จะปลอดภัย
The Should : ควรมีไว้เลย
1. Front Light ไฟหน้า : อันนี้ ไม่ใช่เพื่อที่จะส่องทางในซอยเปลี่ยว แต่คุณปั่นจักรยานในเมืองไทยต้องระวังรถสวน ไฟหน้าของเราจะช่วยให้เราปลอดภัยจากผู้ขับขี่ที่ไร้ระเบียบ และมีอยู่มากในประเทศเรา
2. Messenger Bag : กระเป๋าสะพายที่ออกแบบสำหรับขี่จักรยาน กระเป๋าประเภทนี้ ถูกออกแบบเป็นอย่างดี และจะช่วยให้คุณปั่นไปทำงานได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น การใข้กระเป๋าสะพายจะดีกว่าเป้เพราะบ้านเราเป็นเมืองร้อน กระเป๋าสะพายจะลดอาการหลังแฉะได้อย่างมาก ยี่ห้อดี ๆ อย่างเช่น Timbuk2 หาได้ที่ Loft ก็จะมีอะไรดี ๆ หลายอย่าง เช่น นวมหุ้มสายสะพายหนาแน่น สายรัดเพ่ิมความมั่นคง ช่องเปิดด่วนต่าง ๆ ที่จะเอาไว้ใส่กระเป๋าสตางค์ มือถือพร้อมช่องต่อสาย handfree เป็นต้น
3. Sport Glasses แว่นกันแดด แว่นกันลม : ถ้าจะให้ดีเลนส์ transition ก็จะสะดวกมาก การปั่นกลางแดดร้อน แว่นกันแดดจะช่วยเพ่ิมการมองเห็นได้เป็นอย่างมาก ถ้าเป็นแบบ polarized ก็จะช่วยตัดแสงแยงตาที่มาจากหลังรถได้มาก ส่วนเวลาโพล้เพล้เราจะเจอปัญหาแมลงเป็นส่วนใหญ่ ดังนันแว่นกันลมจะช่วยได้ถ้าหากว่าแว่นกันแดดของคุณมืดจนเกินไป
The Nice : มีไว้บ้างก็ดี
1. Rear Fender บังโคลนหลัง : ถ้าใครไม่มีวันที่มีฝนแม้เพียงปรอย ๆ จะหงุดหงิดมาก ๆ ในขณะที่บังโคลนหน้าจะยังไม่สำคัญมากนักเพราะจะพอหลบด้วยตัวถึงจักรยานได้อยู่บ้าน แต่ถ้าไม่มีบังโคลนหลังแล้ว ถ้าถนนมีประวัติฝนตกมาก่อนหน้าคุณมาเล็กน้อยเท่านั้นก็เป็นอันก้นเปียกแน่นอน
2. Bike Gloves ถุงมือจักรยาน : เมื่อเกิดอุบัติเหตุถุงมือจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ถ้าคุณเลือกแบบมีผ้าขนหนูบริเวณหลังมือ ก็จะช่วยคุณในวันที่ร้อนเหลือเหงื่อไหลเข้าตา เมื่อเหตุการณ์สองเหตุการณ์นี้เกิดกับคุณ คุณจะขอบคุณที่มีถุงมือ
3. Leg Wrapper สายรัดขากางเกง : คงมีไม่กี่คนสามารถใส่ขาสั้นไปทำงานได้ และทุก ๆ คนสามารถที่จะแค่พับขากางเกงขึ้นเพื่อป้องกันขากางเกงเปื้อน หรือเข้าไปพันกับจานโซ่ แม้กระทั่งยัดขากางเกงเข้าไปในถุงเท้า แต่การใช้สายรัดจะทำให้สะดวกกว่ากันเยอะเลย นอกจากนี้ก็มั่นใจกว่าด้วย
The Luxury : อย่างหรู
อันนี้อาจจะเยอะหน่อย ที่ผมถือว่าเป็น luxury ที่มีประโยชน์ครับ ผมมีเอง หรือ อย่างน้อยเคยได้มีมาบ้างในบางช่วงของการปั่น
1. Shower room ห้องอาบน้ำ : ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่คุณจะสามารถหาห้องอาบน้ำในที่ทำงานของคุณได้อีกแล้วครับ การปั่นจักรยานของคุณจะสุขมาก ๆ คุณไม่ต้องกลัวฝน คุณแต่งตัวอย่างไรก็ได้ ใช้จักรยานอะไรก็ได้ คุณมีทางเลือกหลายวิธีครับ ในอาคารหลังหนึ่ง ๆ มักจะมีห้องน้ำบางที่ที่จะมีห้องอาบน้ำครับ ลองหาให้ดีอาคารของคุณอาจจะมีห้องแบบนี้อยู่ก็ได้ ทำความรู้จักแม่บ้าน หรือ รปภ. ครับ ชมรมว่ายน้ำ ถ้าหากว่าคุณทำงานในมหาวิทยาลัย หรือสถานออกกำลังกาย เป็นอีกแหล่งหนึ่งครับ
2. Rain Suit ชุดกันฝน : ชุดแบบนี้ก็จะทำให้คุณสนุกขึ้นอีกหลายระดับครับ ถ้าคุณต้องออกไปทำงานในขณะที่ฝนตกไม่หนักมาก แต่ก็หนักเกินที่จะใส่ชุดทำงานไป การมีชุดดังกล่าวเอาไว้ก็จะลดข้ออ้างที่จะไม่ใช้จักรยานในวันนั้นไปได้มากครับ พวก Hard Shell ทั้งหลายมีให้เลือกหลายยี่ห้อครับ ผมใช้ของ Pearl Isumi ไม่เคยผิดหวังครับ แต่ไม่ได้ใช้บ่อยนักครับ
3. Bike Shoes in disguise รองเท้าจักรยานที่ใส่ทำงานได้ : ใครที่ปั่นจักรยานมานาน ๆ อาจจะเริ่มติดใจระบบ clipless pedal ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องใช้ ถ้าไม่ใช้จะออกอาการขาดความเชื่อมั่น ผมเลือกใช้รองเท้าจักรยานของ Mavic : Cruize ที่มีสีดำและมีเชือกผูกเหมือนรองเท้าผ้าใบทั่วไป ผมสามารถใส่รองเท้านี้คู่กับกางเกงสเลคได้อย่างไม่ขัดเขินครับ
4. Rain Protection System อุปกรณ์ป้องกันฝน : ถ้าคุณไม่ได้ใช้กระเป๋าจักรยานที่กันน้ำได้ คุณอาจจะเปลี่ยนไปใช้แบบกันน้ำได้ แต่ผมไม่ค่อยชอบเพราะส่วนใหญ่มันจะเทอะทะ และผิวสัมผัสไม่ค่อยน่าใช้เท่าไร ผมเลือกที่จะพกถุงกันน้ำ ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านแคมปิ้งทั่วไป และถุง Zip Lock ขนาดเล็ก ๆ เอาไว้ใส่มือถือก็เท่านั้นครับ
เพียงเท่านี้คุณก็ไปได้ทั่วแล้วครับ เชื่อผมเถอะครับ ผมไปมาทั่วแล้วในทุกสภาพ เปลี่ยนอุปกรณ์มาหลากหลายรูปแบบ แต่ lucky number 13 ชิ้นนี้ กินขาดทุกสภาพครับ ยกเว้นเวลาหิมะตกหนักครับ คุณต้องมีชุดอุปกรณ์พิเศษสำหรับกันหนาวเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยครับ เร่ิมจากหัว ตัว ขา มือ และเท้า แต่ท่่ี่เหลือเหมือนกันทุกอย่างครับผม ถ้าคุณได้ลองปั่นในสภาพหิมะแล้ว คุณจะรู้ซื้งเลยว่าการปั่นจักรยานในเมืองไทยที่ใคร ๆ ว่าร้อน ไม่เหมาะกับการปั่นไปทำงานนั้นง่ายกว่ากันหลายเท่านักครับ ไม่ต้องรวมถึงตอนที่ฝนตกปรอยด้วยลูกเห็บนะครับ บรึ๋ยไม่อยากจะคิดถึงเลย ผมจำได้เลยว่าผมร้องไห้เป็นครั้งแรกกับสภาพชีวิตของผมในวันนั้น
เริ่มมีคนให้แนะนำยี่ห้ออุปกรณ์ให้ ผมคงทำได้ไม่ดีครับเพราะใช้ไม่กี่ยี่ห้อ จะเล่าได้แค่ว่าใช้อะไรอยู่เท่านั้น แล้วว่างๆจะมารีวิวเป็นชิ้นๆไปเลยจะดีกว่าครับ
Messenger Bag Timbuk2 size s เกือบสิบปีแล้ว ออกแบบดีมากโดนใจ
Bern G2 helmet เพิ่งลองใช้ เบามากจริงๆสำหรับหมวกสไตล์นี้ รูอากาศใหญ่ แต่อย่าเทียบกับหมวกเมาเทนหรือโรดนะครับพวกนั้นหาเบากว่าเย็นกว่าได้แต่ดูแล้วไม่เข้ากับชุดทำงานเช่นเดียวกับภาพด้านบน
Cable lock ผมมีสองเส้นยาวมากเส้นนึง กำลังพอดีเส้นนึงที่ยาวๆเป็นของ blackburn ประมาณสิบกว่าปีแล้วเป็นแบบขดเป็นวงๆ อีกเส้นเป็นของ knog whip คล้องตัวได้พอดี เลือกใช้แล้วแต่ว่าปั่นไปไหน
แว่นตาผมใช้สองสามอันครับตามสภาพ ไม่มีเลนส์ทรานสิชั่นใช้ ส่วนใหญ่ใช้ Oakley หลายอันแล้วตอนนี้เหลือสองเป็นโพลาไลซ์หนึ่ง แว่นใสเป็นของ Briko ใช้มาเป็นสิบปีแล้วเหมือนกัน