Challenge Roth : The dream that you can all experience

หลังจากผ่านการ DNF และ Finish รายการไอรอนแมนที่ลังกาวีมาอย่างละครั้ง ผมเริ่มมีความเชื่อภายในจิตใจว่า ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของไอรอนแมนคือการ register หลาย ๆ คนไม่สามารถก้าวข้ามเส้นบาง ๆ เส้นนั้นได้ การเข้าร่วมหรือการได้รับรองความบ้าระดับที่ถูกเรียกว่าไอรอนแมนนั้นสำหรับผมจึงไม่ได้มีอะไรที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ผมเคยเป็นคนนอกมองเข้ามา ดังนั้นในวันนี้ผมจึงอยากจะขอเล่าเรื่องราวจากมุมมองของคนในเล่าให้ฟัง ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสบประมาทความเป็นไอรอนแมนของใคร ๆ ไม่ได้ไม่เห็นคุณค่าของการเตรียมตัว การซ้อม ระเบียบวินัยอันดีของนักกีฬาระดับไอรอนแมน ที่หลาย ๆ ท่านใช้เพื่อนำมาซึ่งความสำเร็จ รวมไปถึงเวลาในการสำเร็จไอรอนแมนของแต่ละท่านเหล่านั้น แต่ผมเคยเขียนบทความทำนองนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของบุคคลธรรมดาที่จะเข้าร่วมมาแล้ว ซึ่งหลาย ๆ คนใช้มันเพื่อเป็นกำลังใจ และคราวนี้ในรายการที่ยิ่งใหญ่ กับสิ่งที่ผมไม่ได้วางแผนไว้ มันกลับทำให้ผมได้เข้าใจอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่อยากมาเล่าให้ฟัง

challengeroth14promo-thumb-580x344-4951

รายการ Challenge Roth จริง ๆ แล้วเริ่มมีการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 1984 แต่เริ่มเป็นระยะไอรอนแมนในปี 1990 ถ้าจำไม่ผิดจะเรียกว่า Ironman Europe แต่ภายหลังที่ WTC ที่เป็นเจ้าของเทรดมาร์คคำว่า Ironman และเครื่องหมาย M-Dot เริ่มเข้มงวดกับเครื่องหมายการค้า การแข่งขันที่เรียกว่า Challenge Roth ก็ถือกำเนิดขึ้นในปี 2002 เป็นปีแรก แต่บรรยากาศ ประวัติศาสตร์ และความร่วมมือของชาวเมือง รวมไปถึงความสุดยอดของการจัดการของงานทำให้ถือว่าเป็นหนึ่งใน Bucket List ของนักไตรกีฬา แม้ว่ารายการนี้จะเปิดให้ใคร ๆ สมัครได้แต่ความเป็นไปได้ที่จะสมัครนั้นแทบจะเหลือเลยเพราะระบบออนไลน์แม้จะไม่เคยล่มก็รับผู้สมัครเต็มภายในไม่เกิน 30 วินาที ผมลองมาแล้วหลายปีด้วยกัน มีอีกไม่กี่วิธีที่จะเข้าร่วมได้นั่นคือซื้อผ่านบริษัททัวร์ของออสเตรเลีย ที่จริง ๆ แล้วผมก็แจ้งความจำนงค์เอาไว้หลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เคยทันกับจำนวน slot ที่จำกัดของบริษัททัวร์เช่นเดียวกัน ผมเคยแม้กระทั่งวางแผนมาเป็นผู้ชมเพื่อที่จะมาเข้าคิวลงทะเบียนในช่วงเช้าหลังจบการแข่งขันด้วยซ้ำ จนสุดท้ายรายการ Challenge ได้มาจัดที่ประเทศไทย ความเป็นไปได้จึงมีมากขึ้น กลุ่มนักไตรกีฬากลุ่มใหญ่ Van Gang ได้รวมตัวกันเพื่อที่จะต่อรอง slot สำหรับรายการนี้ผมโชคดีที่พี่หมอไก่ชักชวน ผมตกลงโดยไม่ลังเลแม้ว่าจะนึกภาพไม่ออกว่าการเดินทางพร้อมครอบครัวห้าชีวิตลูกตัวน้อย ๆ กระเป๋าจักรยานขนาดใหญ่และเป้หนึ่งใบจะเป็นอย่างไร เริ่มแรกดีลคือเราต้องลงแข่งรายการ Challenge Phuket และ Challenge Roth ต่อเนื่องกัน แต่สุดท้าย Challenge ไม่ได้ต่อสัญญาเราจึงต้องไปใช้บริการของบริษัท TriTravel ที่ผมได้กล่าวถึงมาก่อนหน้า ผมไม่แน่ใจเบื้องลึกเบื้องหลังของผู้ทำงานเรื่องนี้มากนัก แต่ถือว่าเป็นงานที่ยุ่งยากเพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายครั้ง ต้องถือว่าผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทำให้รอยยิ้มของนักกีฬาทุกท่านเกิดขึ้นได้ในวันนี้ ต้องขอขอบคุณมาก ๆ

เมื่อสมัครได้เรียบร้อยแล้วก็เหลือแต่การวางแผนเพื่อแข่งขัน ผมเลือกใช้ตารางซ้อมที่ผมเคยใช้สำเร็จที่ลังกาวีมาแล้ว เป็นตารางง่าย ๆ สำหรับบุคคลธรรมดา ที่สามารถว่ายน้ำต่อเนื่องได้ประมาณ 1500-2000 ม. ปั่นจักรยานต่อเนื่องได้ 90 กม. และวิ่งต่อเนื่องได้ 21 กม. ก่อนเริ่มตารางก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับระยะประมาณนี้ ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องค่อนข้างปกติสำหรับผมแล้ว เป้าหมายของตารางนี้เพียงแค่ “จบ” ไอรอนแมนอย่างแข็งแรง โดยเฉลี่ยซ้อมประมาณ 10-12 ชม. ต่อสัปดาห์ และสูงที่สุด 17  ชม. ต่อสัปดาห์ วิ่งยาวที่สุดประมาณ 36 km และปั่นยาวที่สุด 160 km ใช้เวลาทั้งหมด 16 สัปดาห์ แต่โชคไม่เข้าข้างผมเลย เพราะมีหลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ผมยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความจำเป็นใหม่ ๆ ของชีวิตนั้นได้ ทำให้ไม่มีสมาธิ และ rhythm ของการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องพูดถึงตารางที่วางไว้ แทบไม่ได้มีการนำมาใช้เลย อย่างไรก็ตามผมพยายามวางการปั่นออแดกซ์เอาไว้อย่างสม่ำเสมอ ประมาณเดือนละครั้ง และการที่ต้องเตรียมงานปั่นออแดกซ์ปัตตานีระยะ 200 กม. นั้นทำให้ผมต้องปั่นทำเส้นทางสม่ำเสมอในระยะที่ค่อนข้างยาว และความถี่ค่อนข้างมาก ซึ่งกลายมาเป็นการซ้อมอันจำกัดของผมสำหรับรายการสำคัญนี้ ถ้าสังเกตุจากตารางการซ้อมของผมจะพบว่าประมาณหนึ่งเดือนก่อนการแข่งขันไอรอนแมนลังกาวี ผมไม่ได้ซ้อมอย่างสม่ำเสมออีกเลย มี peak ของ TSS เสียบขึ้นมาเป็นระยะ ๆ เป็นการปั่นออแดกซ์ และ ultra trail ที่ผมพยายามลงแข่งขันเพื่อสร้างความมั่นใจ

งานนี้ผมรู้ตัวดีว่าจักรยานและว่ายน้ำไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมแน่ ๆ การว่ายน้ำด้วยเทคนิคเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องใช้กำลังมากนักผมน่าจะสามารถจบที่ pace 2 ต้น ๆ ได้สบาย ๆ ปกติผมซ้อมว่ายน้ำตอนเช้า หรือไม่ก็เที่ยง แต่ตารางซ้อมมาชนกับช่วงปิดเทอมของเด็ก ๆ ทำให้ช่วงเช้าสระว่ายน้ำเต็มไปด้วยเด็กที่มาเรียนว่ายน้ำ ส่วนตอนเที่ยงผมก็งานสุมจนปลีกตัวไปค่อนข้างลำบาก ทั้งหมดทั้งสิ้นผมน่าจะว่ายน้ำไปประมาณ 2400 ม. ในช่วงแรก ๆ ของตาราง จักรยานนอกจากการปั่นหาเส้นทางสำหรับออแดกซ์ปัตตานีแล้วผมไม่ได้ซ้อมเลย จักรยาน TT ผมฟิตติ้งใหม่หลังจากแข่งลังกาวี เพราะมี Tri-Bar ชุดใหม่ เคยใช้ปั่นซ้อมเพียง 130 km แบบไม่ต่อเนื่องเพียงครั้งเดียว แต่โชคดีที่ผมร่วมปั่นออแดกซ์ค่อนข้างสม่ำเสมอ ทั้งระยะ 200, 300, 400 km โดยปั่น 400 km ไปถึง 3 ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นได้มาปั่นกระชั้นกันในช่วงก่อนแข่งขัน ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างฐานที่ดี ทั้งในแง่ของกำลังกาย และกำลังใจ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่าความเหนื่อยต่อเนื่องของไอรอนแทนนั้นเทียบได้กับการปั่นประมาณ 300km ส่วนการปั่น 400km จะเหนื่อยและต้องการพลังใจมากกว่าอีกระดับหนึ่ง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ Ironman สูญเสียความเป็น toughest one day sport event เพราะ 400km ความเหนื่อยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมันกลายเป็น 2 วัน คนที่ปั่นได้เร็วจะไม่เหนื่อยเท่ากับคนที่ปั่นได้ช้ากว่า เพราะความอ่อนล้าจากการอดหลับอดนอนนั้น เป็นส่วนสำคัญของความกดดันทางจิตใจของชาวออแดกซ์

13700050_1244220542285426_328457610314859223_n

ดังนั้นรอบนี้สิ่งที่ผมต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือการวิ่ง ผมสูญเสีย running engine ไปตอนเข้าร่วม TNF ระยะ 50K อาการเจ็บหลังระหว่างแข็งจนต้องเดิน หรือ บางครั้งแทบจะไม่สามารถยืนทรงตัวได้ระหว่างแข่งนั้นเป็นกำแพงทางจิตใจของผม ที่ทำให้การวางแผนทั้งหมดไม่ใช่เรื่องตรงไปตรงมา ผมพยายามลงสมัครระยะทางระดับอัลตราเพื่อเพิ่มความคุ้นเคยกับ time one foot ที่สูง ๆ มากกว่า  10 ชม. ซึ่งแม้ว่าจะทำให้ผมต้อง DNF ไปถึงสองรายการทั้ง PYT66 และ TNF100 แต่ทำให้ระยะเวลาบนเท้าของผมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจาก 6-7 ชม. เป็น 10-15 ชม. ซึ่งสร้างอะไรบางอย่างในตัวผมทั้งร่างกายและจิตใจ อย่างไรก็ตามความเร็วทั้งหมดผมได้สูญเสียไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งที่ผมบาดเจ็บเข่า ความเร็วสูงสุดที่ทำได้กับระยะฮาร์ฟมาราธอนครั้งสุดท้ายคือ 1:55 ชม. หรือส่วนหนึ่งของ 70.3 ก็ประมาณ 2:10 ชม. แต่นั่นก็นานมาแล้ว ผมมาหัดเพิ่มระยะเป็นมาราธอนไม่นานมานี้และเคยทำได้ดีที่สุดคือ 5:39 ชม. โดยประมาณ การวิ่งมาราธอนทั้งหมดของผมก็มีไม่กี่ครั้ง นานที่สุดคือ 6:30ชม. ทั้งเป็นการวิ่งในรายการไอรอนแมน และวิ่งรายการพัทยามาราธอน และสุดท้ายผมลงรายการภูเก็ตมาราธอนในเดือนมิถุนายนเอาไว้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมก็ทำเวลาได้ 6:05 ชม. ทำให้ผมค่อนข้างที่จะกังวลเรื่องวิ่งมากที่สุดในการแข่งขันระยะทางไอรอนแมน

13726846_1410346625649085_5984292856668982699_n

รายการ Challenge Roth นั้นกำหนดระยะเวลา Cut Off เร็วกว่ารายการไอรอนแมนทั่วไป โดย Challenge Roth ตัดเวลาที่ 15 ชม. หรือ ว่ายรวมปั่น 9:30 ชม. ในขณะที่ไอรอนแมนจะกำหนดเวลาไว้ 17 ชม. ว่ายรวมปั่น 10:30 ชม. ทำให้ด้วยศักยภาพของผมที่มีอยู่มันเป็นความท้าทายโดยตัวของมันเอง สถิติการจบไอรอนแมนเพียงครั้งเดียวของผมคือ 15:02ชม. ที่ลังกาวี บวกกับสภาพการเตรียมตัวที่จำกัดเป็นอย่างมาก ประสบการณ์ ความเชื่อมั่น และแผนการจึงเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ ผมวางแผนการแข่งขันอย่างง่าย ๆ คือ ว่ายน้ำ 1:30 จักรยาน 7 และวิ่ง 6:30 รวมกันเป็น 15 ชม. พอดีไม่มีเวลาสำหรับการเปลี่ยนชุด แต่ผมคาดว่าผมน่าจะว่ายได้ดีกว่านั้น และผมสามารถทำเวลาตอนปั่นถ้าหากว่าเสียเวลาช่วงว่ายน้ำหรือ T1 มากเกินไป ส่วนการวิ่ง 6:30 น่าจะเชื่อถือได้ หากไม่บาดเจ็บ และอาจจะทำเวลาดีขึ้นได้ถ้า T2 มากเกินความจำเป็น นอกจากนี้ผมยังวางแผนละเอียดไปอีกว่า ผมต้องการวิ่งครึ่งแรกของมาราธอนประมาณ 2:30 เพื่อจะเหลือเวลาครึ่งหลัง 4:00 แบบไม่เครียด เพซเดียวกับภูเก็ตมาราธอนก่อนหน้า ในช่วงครึ่งแรกและใช้ survival mode ในช่วงครึ่งหลัง นอกจากนั้นผมวางแผนที่จะแค่ไหล ๆ ในช่วงว่ายน้ำ ส่วนการปั่นผมต้องการใช้ไม่เกินโซนสอง เช่นเดียวกันกับการวิ่ง

การเดินทางเพื่อมาแข่งขันเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ผมมาก่อนเวลาที่บริษัททัวร์นัดพบหนึ่งคืน มาพักที่ใจกลางเมืองใกล้ Hbf ของนูเรมเบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่น่ารัก ใหญ่เป็นอันดับสองของแคว้นบาวาเรียรองจากมิวนิค อยู่ทางเหนือขึ้นมาประมาณ 110 km ผมบินลงมามิวนิคแล้วนั่งรถไฟกันมาค่อนข้างสะดวกค่าใช้จ่ายประมาณ 11 Euro สำหรับรถไฟสายปกติ ซึ่งต้องรอ 9 โมงเช้า ทีมส่วนใหญ่ที่เดินทางมาล่วงหน้าเลือกที่จะพักเที่ยวกันที่มิวนิค ทำให้ผมยังมีทั้งมิวนิคเก็บไว้ให้เดินเที่ยวเล่นได้อีกครั้งถ้ากลับมาในพื้นที่แห่งนี้ ในคืนแรกผมได้พบกับนักไตรกีฬาจากมาเลเซียที่มา Roth เป็นครั้งที่สอง ผมจึงสอบถามเรื่องวิธีสมัคร เขาบอกผมว่า slot ที่แจกนั้นส่วนใหญ่มักจะมีเหลือดังนั้นหลังแข่งแล้วสามารถไปสมัครได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยัง transferable อีกด้วย หลังจากนั้นครอบครัวของผมก็ขอแยกตัวไปเที่ยวปราคขณะที่ผมย้ายเข้าพักกับบริษัททัวร์ ห่างออกไปจากตัวเมืองประมาณ 15 กม. เรียกแทกซี่ก็ไม่ยุ่งยากหมดไป 17Euro เพื่อรอเพื่อน ๆ อีกกลุ่มที่บินเข้าที่มิวนิคช่วงเช้าแล้วจะเข้ามาพร้อมกันที่โรงแรม หลังจากทุกคนพร้อมแล้วทางบริษัททัวร์ก็พาเราเข้าไปงานเอกโปซ์เพื่อไปลงทะเบียนล่วงหน้าหนึ่งวัน ลดกิจกรรมที่จะต้องทำในวันรุ่งขึ้น

13716107_1393542967338945_6092240235650305064_n

เริ่มพบกับยอดมนุษย์เหล็กทั้ง 40 คนกันแล้ว แต่ละคนก็มีเป้าหมายที่แตกต่างกันไป ผมคงไม่ไปกล่าวถึงแต่เป้าหมายของผมในเวลานี้คือเอาตัวให้รอด หลังจากที่พบว่าตัวเองแทบไม่ได้ซ้อมอะไรมาเลย มีแต่เพียงหัวใจและประสบการณ์ ผมมีวิธีที่จะคิดได้สองแบบคือ กังวล หรือ สู้ตาย ซึ่งแน่นอนว่าในขั้นนี้สู้ตายเป็นทางเลือกที่ไอรอนแมนส่วนใหญ่จะเลือกใช้ ยิ่งไปกว่านั้นผมมีอาวุธลับที่พิเศษกว่าคนอื่น ๆ ในยามที่ทุกอย่างไม่เข้ารูปเข้ารอย นั่นคือ ความเยือกเย็น ไม่ว่าเรื่องราวจะมาอย่างไร ผมรู้สึกเสมอว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี เพื่อนนักปีนเขาเรียกชื่อเล่นผมว่า Zen Master ไม่ใช่เพราะความสามารถในการปีน แต่เป็นความสามารถในการเก็บอาการเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ที่กำลังจะเจอนั้นอาจจะเกินความสามารถ และมีอันตรายเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์ยุ่งยากมากขึ้นเพียงใด ความจำเป็นในการสงบสติอารมณ์ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ณ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ผมจะเสียใจว่าผมขาดอะไร แต่ต้องมาดูว่าผมมีอะไรอยู่บ้าง ในขณะเดียวกันสิ่งที่จะได้มาจากงานนี้อย่างแน่นอนนั่นคือ ความเข้าใจปริมาณการซ้อมที่น้อยที่สุดที่เป็นไปได้ วิธีการเอาตัวรอดจากไอรอนแมนโดยอาศัยสิ่งที่ตนเองถนัด และอื่น ๆ

13699420_1249351451772335_548084090_o

ในวันรุ่งขึ้นทางทัวร์พาเราไปลองว่ายน้ำ ผมปกติไม่เคยทดลองน้ำ เนื่องจากไม่ชอบความหนาวเย็น แต่รอบนี้เริ่มมองเห็นความจำเป็น เจตนาของการไปว่ายน้ำก็เพียงเพื่อทดสอบอุณหภูมิของน้ำ การฟิตติ้ง wetsuit ให้เหมาะสม เพื่อดูพื้นที่จริง ที่สุดท้ายแล้วทุก ๆ สิ่งที่ได้ทำวันนี้เพื่อลดความเครียดที่จะเจอในวันจริง อุณหภูมิน้ำประมาณ 20 องศาถือว่ากำลังดี wetsuit ก็พอดีมีกังวลแค่การเสียดสีที่ต้นคอเท่านั้น หลังจากที่เราทดสอบสนามในช่วงว่ายน้ำแล้วเราก็ต่อด้วยนั่งรถชมเส้นทางตลอดเส้นทางทั้งรอบ 90 กม. ผมไม่ค่อยได้ดูเส้นทางที่เขาให้ชมมากนัก ไม่รู้สึกว่ามีเนินอะไรที่กังวล ไม่มีทางลาดไหนที่ดูอันตราย โค้งไหนที่ควรระวัง ตลอดทางนั่งมองแต่วิวและความสวยงามของพื้นที่ โดยปกติแล้วผมเป็นคนชอบจดจำจุดสำคัญต่าง ๆ เพื่อใช้ในการวางแผนการปั่น แต่รอบนี้ผมไม่คิดว่าการปั่นต้องมีแผนอะไรเป็นพิเศษ หลังจากกลับที่พักเราก็นัดกันอีกครั้งเพื่อจะเข้าไปงานเลี้ยงอาหารต้อนรับ แต่สุดท้ายแล้วคนไทยกลุ่มใหญ่เลือกที่จะเดินทางเข้าเมือง ผมก็เช่นกัน วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันที่เราเตรียมตัวเพื่อ Bike Check-in ไม่น่าเชื่อว่าผู้แข่งขัน 6000 คน มีทางเข้าจุด T1 สีจุด แทบไม่มีแถวให้ต่อเลย การจัดการขั้นเทพ รวดเร็วแม่นยำ ที่นี่เขาตรวจสภาพหมวกกันน๊อคเคร่งเครียดมาก ดูสภาพกันแทบทุกมุม พร้อมมีของใหม่เตรียมตัวขายถ้าไม่ผ่าน ส่วนจักรยานเขาไม่ดูอะไรมาก ต่างจากงานภูเก็ตหรือลังกาวีที่ตรวจสอบเบรคอย่างเคร่งครัด เวลาที่เหลือเราพยายามรีบกลับไปพักผ่อนเพราะวันรุ่งขึ้นเริ่มต้นที่ตีสาม แม้ว่าเวลาเริ่มต้นของเราจะอยู่ที่ 7-8 โมงก็ตาม

13692551_1393543180672257_3064557522683468204_n

การไปก่อนเวลานานมาก ๆ ช่วยลดความตึงเครียดของการแข่งขันลงได้มาก มีเวลาดูแลจักรยาน จัด  T1 เข้าห้องน้ำ drop bags ใส่ wet suit และ selfie อย่างสนุกสนาน กลุ่มผู้หญิงออกตัวก่อน ในขณะที่กลุ่มชายไทยออกตัวเป็นกลุ่มสุดท้ายห่างกันหนึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ การออกตัวเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ คนเชียร์เต็มตลอดสองฝั่งแม่น้ำ บอลลูนถูกปล่อยขึ้น ปืนใหญ่ยิงปล่อยตัวทุก ๆ เวฟ 200-250 คนออกพร้อม ๆ กัน เสียงดังสนั่นทุก ๆ ห้านาที พร้อมควันพวยพุ่งเบื้องหลังบอลลูนสีสด เป็นภาพที่ยากที่จะลืมเลือน เราจะว่ายเป็นวงขึ้นลงตามแม่น้ำที่ปกติห้ามมีการว่ายน้ำ เป็นคลองที่เชื่อม Rhine-Main-Danube เข้าด้วยกันใช้เพื่อการขนส่งสินค้า เราจะว่ายไปชนสะพานด้านหนึ่งแล้วกลับตัวว่ายไปถึงอีกสะพานหนึ่งที่จะมีคนยืนเชียร์อยู่สองฝั่งคลอง และเต็มพื้นที่สะพาน ผมเริ่มเป็นกลุ่มสุดท้ายนั่นก็ช่วยให้มีเวลาผ่อนคลายอีกพักใหญ่ ๆ หลังเวฟแรกออกตัวไปแล้ว หูเริ่มคุ้นเคยกับเสียงปืนใหญ่ จำนวนผู้คน เสียงเชียร์ เมื่อถึงคิวว่ายลงไปจุดเริ่มต้น ไม่ช้าไม่นานสองร้อยชีวิตก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเลียบชายฝั่งออกไปพร้อม ๆ กับเสียงปืนใหญ่ครั้งสุดท้าย น้ำในคลองค่อนข้างขุ่นมองไปหน้าไปประมาณระยะปลายนิ้วมือ ไม่เห็นคนว่ายนำที่ผมชอบใช้ในการนำทาง ผมต้องพยายามมองข้างตลิ่งไว้ แต่ผมว่ายห่างจากตลิ่งเพราะคิดว่าคนด้านในน่าจะแน่น สุดท้ายก็ว่ายเป๋ไปมา ระหว่างกองเรือที่แบ่งกลางคลองกับขอบตลิ่ง น้ำเย็นขึ้นกว่าวันทดลองว่าย 1 องศา ไม่รู้สึกหนาวขึ้น มือ หัว ปลายเท้าไม่ชา wet suit ฟิตพอดี นำ้ไม่เข้ามากนักถ้าหากไม่พยายามให้มันเข้า แน่นอนว่ามีน้ำเข้ามาบ้างแต่พอดีกับความร้อนของร่างกายที่ต้องการการระบาย ขอของ wet suit เริ่มเสียดสีกับต้นคอของผม จนทำให้ไม่ค่อยอยาก sighting อีกต่อไป เจตนาการมองข้างขวาอย่างเดียวตลอด 3800 เมตร ไม่เป็นแผนที่ดี ผมเริ่มใช้วิธี rolling body เพื่อหายใจ และใช้ร่วมกับ bi-laterally breathing แต่ทำได้ไม่มากนัก ความเย็น ความลอยตัวของ wet suit ทำให้ไม่คุ้นกับระดับของร่างกาย สุดท้ายต้องผ่อนความเร็วลงเพื่อที่จะให้ roll body ได้ง่ายขึ้น ลดการหันคอลง ช่วงครึ่งแรกผมเสียเวลาไปเกือบ 5 นาทีจากที่วางแผนไว้ ทำให้ช่วงครึ่งหลังต้องตั้งสมาธิมากขึ้น สุดท้ายก็ยังไม่ได้เวลาคืนมามากนักจึงเข้าโหมดเร่งความเร็วจนท้ายที่สุดผมทำเวลาได้ 1:24 นาที ช้ากว่าที่คาดไว้ 4 นาที ว่ายเกินไปประมาณ 300 เมตรจากระยะการ์มิน

T1 ของที่นี่มีเต้นท์เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้ ไม่ต่างจากงานไอรอนแมน Bike Bags ทั้ง 6000 ใบวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านหน้าซึ่งนักกีฬานำมาวางไว้เองตอนช่วงก่อนเริ่มแข่ง ที่พิเศษคือเต้นท์นี้เป็นเต้นท์รวมชายหญิง และเต็มไปด้วยอาสาสมัครสตรี หลากหลายวัยที่จะวิ่งเข้ามาประกบเพื่อช่วยเหลือในการแต่งตัว จากพยากรอากาศล่วงหน้าผมไปจัดหาซื้อเสื้อ compression เพิ่มอีกหนึ่งชั้น แต่ด้วยความยากลำบากในการสวมใส่ผมจึงใส่ตั้งแต่ก่อนว่ายน้ำ ผมวางแผนที่จะใส่เสื้อปั่นจักรยานแขนยาวเพื่อความสะดวกในการขนอาหาร และพกเสื้อกันลมอีกหนึ่งตัว แต่สุดท้าย ผมคิด ๆ ไว้ว่าถ้าช่วงวิ่งผมต้องถอดเสื้อปั่นแขนยาวออกชุดแข่งน่าจะไม่ค่อยสวยงามมากนักจึงสวมเสื้อไตรแขนกุดของทีม V40 ทับไว้อีกตัวเพราะกลัวว่าช่วงวิ่งอาจจะไม่มีแรงใส่เสื้อรัด ๆ แบบนี้ได้ สาว ๆ มาช่วยรุมทึ้งถอด wet suit ให้ผม แล้วยื่นเสื้อผ้าในถุง Bike Bag มาให้เลือกทีละชิ้นแล้วช่วยสวม ไม่ช้าไม่นานผมก็วิ่งออกไปปั่นได้  ใช้เวลาใน T1 ไปประมาณ 8 นาที สรุปแล้วผมเสียเวลาจากที่วางแผนไว้ 12 นาที หรือ 2 นาทีจาก range ที่วางเอาไว้ ซึ่งไม่เครียดเท่าไร จักรยานเอาคืนได้ง่ายเพราะตั้งไว้ 7 ชม ซึ่งหมายถึงเฉลี่ยเพียง 26 กม/ชม อากาศไม่หนาวมากนักแต่เย็นเพียงพอที่จะทำให้เสื้อสี่ชั้นของผมไม่ร้อนจนเกินไป ผมรูดซิบออกเป็นชั้น ๆ ตามจังหวะ และสภาพอากาศ ผมทำเวลาได้ค่อนข้างดีเส้นทาง rolling ซึ่งค่อนข้างเป็นเส้นทางแบบที่ผมถนัด มีจังหวะเนินและทิ้งตัว เข้าโค้ง เบรคไม่ค่อยต้องใช้ เสียอย่างเดียวที่ไม่ค่อยได้ซ้อม กล้ามเนื้อจึงไม่ค่อยแข็งแรงมาก ผมวางแผนปั่นที่ Zone 2 ตลอดการแข่งขันแต่แบตของ power meter ที่เป็น Power2Max ดันมาหมดในวันก่อนแข่งทำให้ไม่สามารถหามาเปลี่ยนได้ทันจึงต้องอาศัยโซนของหัวใจแทน ผมเลือกปั่นที่ HR ไม่เกิน 150 ในครึ่งแรกผมทำความเร็วเฉลี่ยได้ประมาณ 28 ก่อนจะเข้า Solar Hill ที่มีเนินต่อเนื่องยาวนานจนท้ายที่สุดตกลงไปเหลือ 26 เศษ ๆ Solar Hill ถือว่าเป็นไฮไลท์ของสนามนี้ ชาวเมืองเชียร์กันสองข้างทางกว่า 30,000 คน ปั่นจักรยานเลนเดียวแหวกผู้คนขึ้นไปเรื่อย ๆ บนเนินที่ยาวที่สุดของการแข่งขันความชันที่ไม่มากจนต้องมีใครลงมาเข็น เป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน กองเชียร์ในมุมอื่น ๆ ก็ไม่แพ้กัน มีการตั้งเครื่องเสียงเปิดเพลงร๊อคปลุกใจ ดีเจตะโกนเชียร์ เด็ก ๆ ยื่นมือออกมา และแน่นอนว่าผมยื่นมือออกไปแตะมือเด็กทุก ๆ คนที่ยื่นมือออกมาเพื่อเป็นการขอบคุณ บางบูธเป็นโต๊ะเรียงราย เปิดไวน์นั่งเชียร์ บางบูธเล่นเอาเตียงมานอนเชียร์นอนกินกันข้างทางกันไปเลย แน่นอนว่าเสียงสนั่นหวั่นไหวกันแทบตลอดเส้นทาง ในรอบที่สองผมจึงเลือกที่จะปั่นเลี้ยงความเร็วเฉลี่ยไปเรื่อย ๆ เก็บแรงเอาไว้ที่ Solar Hill รอบที่สอง เป็นไปตามคาดรอบที่สองเริ่มมีอากาศที่ร้อนขึ้นเล็กน้อย ผมต้องจอดเพื่อถอดเสื้อกันลมหนึ่งครั้ง จอดเพื่อเข้าห้องน้ำหนึ่งครั้ง และจอดเพื่อปรับแก้เสื้อจักรยานอีกหนึ่งครั้ง เสียเวลาเล็ก ๆ แต่ได้พักขามากขึ้น rolling hill มักจะทำให้กล้ามเนื้อล้าโดยง่ายถ้าไม่ระมัดระวัง มาถึงจุดนี้กล้ามเนื้อผมเริ่มล้าเกินกว่าที่จะทำให้ HR ผมขึ้นไปถึงเป้า 150 แล้ว ผมผ่อน ๆ คลาย ๆ และใช้เวลาบน base bar มากขึ้น aero bar และ ฟิตติ้งใหม่ยังไม่เข้ากับตัวผมที่ไม่ได้ซ้อมปั่นด้วย set up ใหม่นี้มาเลยทำให้เริ่มเมื่อยคอ ผมจำอาการตะคริวขึ้นคอได้ดีในสองโอกาสทั้งที่ลังกาวีและการปั่นกรุงเทพหาดใหญ่ของผม ทุกครั้งที่มีโอกาสผมจึงจับ base bar ตลอดซึ่งทำให้ลดความเร็วเฉลี่ยลง เพิ่มกำลังขานิดหน่อย เพราะร่างกายอยู่ในตำแหน่ง open torso ผมปั่นเข้า Solar hill โดยไม่เสียเวลา และพยายามคงความเร็วเฉลี่ยในเนินที่เหลือให้ได้มากที่สุด โดยที่ไม่โหลดกล้ามเนื้อขาจนเกินไป ระหว่างรอบที่สองนี้ผมจึงมีเวลาชื่นชมวิวสองข้างทางตามสไตล์ออแดกซ์มากขึ้น ถนนเรียบที่ปิดการจราจรแทบจะ 100% เส้นทางเขาขึ้นลง มีเนินท้าทายขาสองเนินที่ไม่ได้ทำให้ใครต้องลงมาเข็น ข้างทางรายล้อมด้วยทุ่งนา ทุ่งข้าวโพด หรือ ข้าวบาเลย์ ฉากไกล ๆ เป็นภูเขาสูง ประดับด้วยกังหันลมเป็นระยะ ๆ ทำให้ต้องคอยเตือนตัวเองให้คุมความเร็วเอาไว้ให้ได้ อย่าเพลินจนเกินไป ในขณะเดียวกันสภาพเนินต่อเนื่องยาวนานหลายชั่วโมงเริ่มทำให้ความล้าคืบคลานเข้ามา 170 กม ไม่ได้มาถึงเร็วอย่างที่คิด แต่สุดท้ายผมก็ปั่นเข้า T2 ด้วยเวลาปั่นประมาณ 6:48 ชม. เอาเวลาที่หายไปคืนมาทั้งหมด

13775453_1410345645649183_6030980180576254421_n

เมื่อถึง T2 ผมเปลี่ยนแผนที่เคยคิดจะถอดรองเท้าทิ้งไว้กับจักรยาน เพราะเพิ่งรู้ว่าทางทัวร์จะนำจักรยานกลับโรงแรมให้กับเรา ผมคิดว่าอาจจะทำให้รองเท้าสูญหายได้ เกือบเสียศูนย์เพราะลืมปลดคลิบเมื่อมาถึงจุด unmount แต่สุดท้ายก็สามารถบิดขาทั้งตัวเพื่อปลดตัวเองออกจากบันไดได้ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเริ่มยกขาข้ามจักรยานลงมาแตะพื้นแล้วหนึ่งข้าง อาสาสมัครยื่น Run bag มาให้แล้วมีคนวิ่งตามเข้าเตนท์เพื่อรักษาความปลอดภัยตลอดเส้นทาง พยาบาลสอบถามว่าต้องการปฐมพยาบาลบ้างหรือไม่ ผมคว้าถุงมาแล้วอาสาอีกคนก็ลงมือเปิดถุงให้กับผม ค่อย ๆ ยื่นเสื้อผ้าด้านในให้กับผม ปลอกแขน หมวก ผมปฏิเสธทุกอย่างเพราะคิดว่าผม over dress  อยู่แล้วในขณะนี้แล้วคิดว่าแดดไม่น่าจะแรงมากนักในขณะวิ่งเพราะเป็นเวลาสี่โมงกว่า ๆ แล้ว ผมเลือกที่จะเอาผ้า buff ติดตัวไปแทน ป้องกันอากาศหนาวและเอาไว้กันเหงื่อเข้าตา ผมถอดเสื้อปั่นจักรยานแขนยาวออกทิ้งไว้พร้อมกับเสื้อกันลม เปลี่ยนเป็นรองเท้าวิ่งที่เพิ่งซื้อ ผ่านการวิ่งมาราธอนไปเพียงหนึ่งครั้งที่เวลา 6:05 ชม. สุดท้ายสาวน้อยยื่นกางเกงวิ่งที่ผมวางแผนจะเปลี่ยนมาให้ แต่ด้วยความเกรงใจสาววัยละอ่อนผมจึงยืนยันที่จะใส่กางเกงปั่นจักรยานตัวเดิมออกวิ่งไป เส้นทางวิ่งเป็นทางวิ่งเลียบคลองเป็นส่วนใหญ่ มีส่วนที่ต้องเข้าเมืองหลายช่วง รวมถึงช่วงที่เรียกว่า beer mile ที่มีโต๊ะเชียร์วางข้างทางพร้อมกับชาวเมืองนักกินเบียร์เชียร์นักกีฬากันอย่างสนุกสนาน

13697135_1410649612285453_3675710670695162634_n

ผมออกวิ่งไปได้ไม่นานก็รู้ตัวว่าแต่งตัวผิดนิดหน่อย แดดร้อนเกินคาด น่าจะมีหมวกสักหน่อย ถึงจุดหนึ่งผมต้องถลกแขนขึ้นลดความร้อน เส้นทางวิ่งสุดยอดมาก ๆ เป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำเป็นส่วนใหญ่ พื้นกรวด บางคนบ่นเรื่องพื้นรองเท้าบางไป แต่สำหรับคนชอบวิ่งเท้าเปล่าแบบผมไม่มีปัญหา การใส่รองเท้าอัลตรามาวิ่งเที่ยวนี้ ความหนาความกว้างเกินพอสำหรับทุกสถานการณ์อยู่แล้ว สำหรับคนเชียร์มีตลอดทางจริง ๆ มีบูธใหญ่ ๆ เครื่องเสียงโต ๆ เพลงดัง ๆ ดีเจประกาศชื่อ ตะโกนไทยแลนด์ hop hop hop คนเชียร์ข้างทางพยายามอ่านชื่อ มองธง ตะโกนชื่อประเทศ ตลอดเส้นทาง สนุกมาก ๆ ประมือ ตลอดเส้นทาง ผมปั่นจักรยานหนักไปนิดทำให้ HR ช่วงแรกของการวิ่งพุ่งสูงเกินไป ผมจึงเลือกที่จะเดินมากกว่าที่จะรักษา pace เพื่อให้ได้ 2.5 ชั่วโมงสำหรับครึ่งทางแรก แต่การที่จะเดินในสนามนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายมากนักถ้าหน้าไม่ด้านพอ กองเชียร์ตะโกนให้วิ่งตลอดเวลา ไม่อยากให้เรายอมแพ้ ในหลาย ๆ จุดเรียกว่าไม่กล้าเดินกันเลย เกรงใจกองเชียร์ขนาดมหึมา บางโซนเป็นป้า ๆ ลุง ๆ เอาเก้าอี้ออกมานั่งชมความทรมานกันหน้าบ้าน ยิ้มให้ ปรบมือให้กำลังใจ สุดท้ายผมจึงพยายามเดินและหยุดพักที่จุดให้น้ำแทน เพื่อไม่ให้น่าเกลียด เส้นทางวิ่งวกไปวนมา เราเริ่มเจอเพื่อน ๆ ชาวไทยที่มาด้วยกัน วิ่งสวนกันไปมา คนแล้วคนเล่าค่อย ๆ แซงผมไป ผมคาดว่าผมวิ่งช้าเพียงพอให้ทุกคนมาแซงผมถ้าต้องการเข้าเส้นชัยทันเวลา เพราะผมเตรียมมาเพื่อเข้าเส้นนาทีสุดท้าย ผมคิดไว้นานแล้วว่าด้วยสภาพของผมในปัจจุบันแล้วยังอยากเล่นระดับไอรอนแมนอยู่ มีทางเลือกสามทางที่จะสามารถเตรียมตัวให้พร้อมได้ หนึ่งคือ ซ้อมเต็มที่เพื่อให้ได้ sub4 มาราธอน ระดับจิตใจและฐานการวิ่งจะยกขึ้นไปอีกระดับหนึ่งที่เหลือเฟือสำหรับไอรอนแมน สองคือ เข้าร่วมรายการระดับอัลตราเทรล 50-100 km อย่างสม่ำเสมอ เพื่อหัดการกินอาหาร เพิ่ม time on foot และสร้างความคุ้นเคยกับความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อขาในระยะปลาย ๆ ของการแข่งขัน รวมไปถึงความแกร่งของจิตใจ สุดท้ายคือ เล่น red line เข้าคนสุดท้าย ใช้การคำนวณปรับ pace ให้เหมาะสมตลอดเวลา อาศัย cut off time เป็นตัวผลักดัน ความผิดพลาดไม่ใช่ option ในคราวนี้ผมเลือกทำวิธีที่สอง อย่างไรก็ตามผมไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนักในรายการอัลตราเทรล DNF ทั้งสองรายการที่สำคัญในการฝึกซ้อม PYT66 และ TNF100 อย่างไรก็ตามการก้าวไประยะอัลตราทำให้ mindset ของระยะมาราธอนของผมเปลี่ยนไป 42Km กลายเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย time on foot ระดับ 10 ชม ขึ้นไปเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ผมจึงวางแผนสำหรับการแข่งขันเป็นแบบทางเลือกที่ 3 แบบไม่บีบเค้นหัวใจเพราะในตอนนี้ระยะ 42km ในเวลา 6:30 ชม. มันไม่ยาวเลย เช่นเดียวกันการปั่นออแดกซ์ระดับ 300-400 km ที่เวลา 28-40 ชม ทำให้การแข่งขันระดับ 17 ชม. รู้สึกสั้นกว่าที่เคยรู้สึกเยอะมาก ๆ

ด้วยแผนดังกล่าวนี้ผมได้พบความสมดุลย์ใหม่ของไอรอนแมน จากที่เคยเชื่อว่าไอรอนแมนเป็นสิ่งที่ต้องทุ่มเทเวลาเป็นจำนวนมาก ซ้อมอย่างหนักอย่างน้อย ๆ 16 สัปดาห์ แทบไม่มีเวลาในช่วงวันหยุดสำหรับครอบครัวเลย หรือ 2 sessions day  เป็นเรื่องปกติที่ต้องทำจนไม่มีเวลาที่จะช่วยเหลือภรรยาแบ่งเบางานในบ้านในระหว่างวัน ผมกลับมารอบนี้ด้วยกระบวนการแบบใหม่โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ จากงานที่ถาโถมมาอย่างหนัก จังหวะชีวิตที่ไม่ลงตัว จำนวนชั่วโมงนับจากเดือนพฤศจิกายนปี 2015 มาถึงวันแข่งเดือนกรกฎาคา 2016 แทบจะเป็นศูนย์ ถ้ามองในมุมของความสม่ำเสมอและจำนวนชั่วโมงที่มีอยู่ แต่การร่วมแข่งขัน โดยเฉพาะรายการทางยุทธศาสตร์ทั้งหลายผมเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอ นั่นหมายถึง อัลตราเทรล PYT66 TNF100 น่าเสียดายว่าไม่ได้ลงเพิ่มเพราะรายการ PYT66 ทำเล็บผมหลุดจึงไม่ค่อยกล้าสมัครรายการอื่น ๆ และการปั่นออแดกซ์ระดับ 200-400km อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ฐานของจักรยานไม่เสียไปมากนัก แต่ที่สำคัญกว่าคือผมมีเวลามากขึ้นที่จะใช้มันทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าแผนการของวันจะเป็นเช่นไร ด้วยความรู้สึกเช่นนี้ผมคิดว่าไอรอนแมนลังกาวีผมน่าจะสามารถทำได้ดีกว่าเดิมในแง่ของการบริหารเวลา การซ้อม รวมไปถึงเวลาแข่งขัน

ผมวิ่งฮาร์ฟมาราธอนแรกด้วยเวลา 3 ชม. ซึ่งช้าไปกว่าแผนที่วางไว้ถึงครึ่งชั่วโมง จากที่จะมีความผ่อนคลาย 4 ชม. สำหรับ 21 km สุดท้าย กลายเป็น 3.5 ชม. ที่ค่อนข้างตึงเครียด อย่างไรก็ตามผมพอจะรู้คร่าว ๆ ว่า 3.5 ชม ในครึ่งหลังจะต้องเป็นอย่างไร จากการที่ได้แข่งขันรายการภูเก็ตมาราธอนในเดือนมิถุนายนแบบไม่ได้ซ้อม ที่ผมทำ 2.5 + 3.5 ชม. เพื่อให้ได้ 6 ชม. ทำให้แม้ว่าจะเครียดในแง่ของความพอดีของเวลา แต่ก็ผ่อนคลายในแง่ของประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้ว อย่างไรก็ตามกว่าผมจะเริ่มคิดอะไรให้เข้าที่ได้ ผมก็มาอยู่ในสภาวะที่ต้องวิ่งต่ำกว่า 10 min/km เป็นระยะทางประมาณ 16 km นั่นหมายถึงผมต้องรักษาความเร็วนี้เป็นเวลา 2:40 ชม นั่นเป็นช่วงเวลายาวนานพอสมควรสำหรับการทำสมาธิระหว่างวิ่งเช่นนี้ ผมลองทดสอบกำลังขานิดหน่อย พบว่าผมสามารถวิ่งสบาย ๆ ที่  เพซประมาณ 7.5-8 ได้ ผมจึงเลือกจัดการกับช่วงสุดท้ายของการแข่งขันตามแผนเดิน 200 เมตร วิ่ง 800 เมตร ให้เพซเฉลี่ยของแต่ละกิโลเมตรต่ำกว่า 10 แล้วทำแบบนี้ซ้ำ ๆ 16 ครั้ง ซึ่งคลายความเครียดได้มาก ผมได้เดินยาวจนรู้สึกหายเมื่อย ผมไม่ต้องวิ่งเร่งแค่จัดให้ต่ำกว่า 10 ช่วงที่หยุดกินอาหารก็ต้องเร่งมากขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลาย มีกองเชียร์ที่สำคัญสองคนที่ช่วยให้การวิ่งของผมสม่ำเสมอมากขึ้น คนแรกคือชายที่ใส่ชุดแฟนซี เหมือนหมีแบกคน เขามายืนเชียร์เป็นระยะ ๆ แล้วปั่นจักรยานไปดักด้านหน้าแล้วเชียร์ จริง ๆ แล้วเขามาเชียร์แฟนของเขาที่วิ่งเพซใกล้ ๆ กับผม เขาเตรียมอุปกรณ์เชียร์มาเป็นระยะ ๆ ตามแต่ stage ของการวิ่ง เริ่มต้นจากการใส่ชุดตะโกนเชียร์ ปรบมือ ปั่นจักรยานไปดักด้านหน้า แล้วทำซ้ำ ๆ แบบนี้ เปลี่ยนเสื้อมาใช้เสื้อที่เขียนว่า “Shut Up Legs” สำหรับนักจักรยานแล้วเป็น phrase ที่สำคัญของนักจักรยานที่เพิ่งรีไทร์ Jen Voight ทำให้ผมต้องวิ่งมากขึ้นกว่าที่วางแผนไว้ มีบางช่วงเขาปั่นจักรยานมาประกบเพื่อ pace ให้จนสุดท้ายแฟนเขาตามผมทัน เขาบอกผมว่าผมต้องวิ่งไปเรื่อย ๆ ดูแลแฟนให้เขา ส่วนเขาจะปั่นล่วงหน้าขึ้นไป ไม่นานนักแฟนเขาก็วิ่งแซงผมไปตอนถึงจังหวะเดินของผม แล้วผมก็ไม่เห็นทั้งสองคนอีกเลย อีกคนหนึ่งเป็นคนเชียร์ที่ผมเห็นสวนไปมาหลายครั้งในชุดวิ่ง ในช่วงหนึ่งกองเชียร์คนนี้มาวิ่งประกบเพื่อชวนคุยคาดว่าเพื่อช่วยเป็น pacer ให้ผมเฉย ๆ เขาเป็นคนเยอรมันที่มีภาษาอังกฤษค่อนข้างดี เคยลง Roth มาแล้ว 7 ครั้ง แต่ปีนี้มาเชียร์เฉย ๆ เขาเดินทางมาจาก Munich ซึ่งห่างจากบริเวณนี้ประมาณ 120km โดยประมาณ เขาวิ่งประกบแล้วคุยกับผมเกือบ ๆ สองกิโล ช่วงนี้ผมไม่ได้หยุดเดินเลย ทั้งสองคนนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การวิ่งรอบนี้ง่ายขึ้นมาก

ที่สำคัญที่สุดสำหรับการแข่งขันครั้งนี้และทุก ๆ ครั้งของผม คือครอบครัวของผม ผมจะเขียนเวลาโดยประมาณให้กับครอบครัวตามระยะต่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถวางแผนวันของพวกเขาได้เอง เพื่อที่จะมาเจอกับผมได้เป็นช่วง ๆ ระหว่างการแข่งขัน ครั้งนี้ก็เช่นกัน การเดินทางมาจุดชมการแข่งขันช่วงเช้าไม่ใช่เรื่องง่ายมากนัก แม้ว่าผมกำหนดเวลาให้พวกเขาทั้งการแข่งขัน ผมคิดว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะมาคือช่วง T2 เป็นต้นไป และส่วนสำคัญที่สุดคือช่วงเส้นชัยที่รายการนี้อนุญาติให้ครอบครัววิ่งเข้าเส้นด้วยกันได้ แตกต่างจากรายการ Ironman แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นกับการตัดสินใจของพวกเขาเพราะขนส่งมวลชนจะสิ้นสุดก่อนที่ผมจะเข้าเสียชัยได้ทัน ช่วงปั่นเข้า Solar Hill ผมมีความหวังเพียงเล็กน้อยที่จะเจอพวกเขา ผมจะผ่านจุดนั้นในเวลา เที่ยงและบ่ายสามโมง ซึ่งจากตารางรถไฟแล้วถ้าเขาจะมาเจอผมที่นั่นเข้าต้องมารออย่างน้อยสองชั่วโมง ท่ามกลางคน 30,000 คน ผมแนะนำว่าแม้ว่าจะทำได้ก็ไม่น่าจะคุ้มค่าเท่าไร ซึ่งผมไม่เห็นพวกเขาในช่วงนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะเจอที่ T2 แต่กลับไม่พบในช่วง T2 อย่างไรก็ตามหลังออกจาก T2 ไม่ถึงกิโลก็พบกับพวกเขายืนรอเชียร์อยู่ ฮารุเรียกผมตั้งแต่ไกล ซาช่าวิ่งเข้ามากอด ส่วนเซนของวิ่งตามไป ผมกอดพวกเขาเอากำลังใจ แล้วบอกกับเซนว่าอีก 40 km เซนคงวิ่งตามไม่ไหว หลังจากนั้นผมหวังเพียงลึก ๆ ว่าจะได้เจออีกครั้ง เพราะต้องเว้นช่วงไปมากกว่าสามชั่วโมงผมจึงจะกลับมาจุดนี้อีกครั้งหนึ่ง ผมไม่เจอพวกเขาในรอบที่สองที่ผมระบุจุดไว้ให้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็พบกับเซนและภรรยาอีกครั้งที่ระยะทางประมาณ 38 กม. ช่วงก่อนวิ่งเข้า Beer Mile คราวนี้เซนต้องการวิ่งไปกับผมอย่างจริง ๆ จัง ๆ ระยะทาง 4 กม. ด้วยเพซที่ผมใช้อยู่นั้นไม่เกินความสามารถเขาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามพวกเขาเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงสิบนาทีเพื่อวิ่งกลับไปขึ้นรถบัสเพื่อไปต่อรถไฟกลับโรงแรม เซนวิ่งคู่กับผมประมาณ  20 เมตรแล้วโบกมือลา 4 กม. สุดท้ายที่ผมวางแผนใช้เวลาอีก 40 นาทีตามเพซที่วางไว้ ผมใช้ไปเพียง 31 นาที เป็นกำลังใจเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่จากหัวใจน้อยใหญ่รายล้อมตัวผม มารู้ทีหลังว่าหลังจากเขาเจอผมรอบแรก พวกเขาก็กลับไปส่งฮารุและแม่ยายที่โรงแรมแล้วออกกันมาอีกรอบไม่ได้หยุดพักกันเลย น่าประทับใจ นี่เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจสมัครงานนี้ในปีหน้าเพื่อมาแก้ไขช่วง Finale ครั้งนี้

13754256_1409545835729164_1974906100854905638_n

ช่วงสุดท้ายของการวิ่งเข้าเส้นชัยมันยิ่งใหญ่ ทุกคนตะโกนบอกว่าอีกสองร้อยเมตรสุดท้าย ตั้งแต่กิโลเมตรสุดท้ายเวที อัฒจรรสูงตระหง่านรอให้นักกีฬาคนสุดท้ายวิ่งเข้าเส้นชัย และรอคอยดูพลุเฉลิมฉลอง อย่างที่เขาว่ากองเชียร์แทบจะอุ้มเข้าเส้นชัยกันเลย มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เสียงเชียร์เสียงปรบมือดังสนั่น มือที่ยื่นออกมาท้ังสองข้างทางที่ต้องวิ่งเข้าไปประมือจำนวนมากมายในหนึ่งรอบสนามนั้น และแล้วผมก็เข้าเส้นชัยล่วงหน้าก่อนเวลาไปประมาณ 8 นาทีกว่า ๆ ธงไทยจากกองเชียร์ถูกยื่นมาให้ ผมยืนงง ๆ ดูดซับความรู้สึกสุดท้าย ถ่ายภาพคู่กับธงเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะเดินกลับไปที่พักนักกีฬาเพื่อพบกับเพื่อน ๆ ชาวไทยที่มาด้วยกัน เป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ สนุกสนาน น่าจดจำมากที่สุดสนามหนึ่งในชีวิต ผมคิดว่าผม crack the code of iron distance triathlon แล้ว ความสมดุลย์ของการฝึกซ้อม แข่งขัน เตรียมตัว ชีวิต และครอบครัว ยืนยันได้อย่างมั่นใจอีกครั้งว่า ไอรอนแมน แม้จะไม่ง่าย แต่ใคร ๆ ก็ทำได้ แม้ไม่เข้าตารางซ้อม เพียงแต่ต้องมี minimum requirements ที่เหมาะสมเพียงเท่านั้น สุดท้ายทั้งหมดนี่เป็นส่วนหนึ่งของความประทับใจในรายการ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ปีหน้าพบกันใหม่ครับ Challenge Roth : We are triathlon

 

 

 

 

Challenge Laguna Phuket : Race of truth

IMG_1914

แม้ว่าเป็นเรื่องน่าเสียใจที่รายการนี้ไม่ได้ใช้ชื่อ Ironman ชื่อมีลิขสิทธิ์ที่สามารถสร้างความสนใจกับผู้คนรอบข้างได้มากกว่าชื่อใหม่ที่เรียกว่า Challenge สำหรับผมแล้วดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเข้าทางผมมากกว่า ในขณะที่ Ironman ถูกวางตำแหน่งให้เป็นซีรี่ส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีรายการที่เรียกว่าชิงแชมป์โลกอยู่ภายใต้ชื่อของเขา รายการที่ใช้ชื่อ Ironman นั้นมีทั้งระยะเต็ม Ironman ระยะครึ่งหรือ Ironman 70.3 หรือเมื่อเร็ว ๆ นี้ระยะโอลิมปิกก็ถูกเรียกใหม่ภายใต้ชื่อ 5150 ผมเองไม่ค่อยชอบนักที่จะเอาชื่อที่พวกเราใช้เรียกสิ่งที่เราทำกันไปจดลิขสิทธิ์ สำหรับผมแล้ว Ironman หมายถึงคนที่ข้ามขีดจำกัดของตนเองไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมใด ระยะทางเท่าไรก็ตาม ในขณะที่ Ironman มีเป้าหมายให้รายการมีมาตรฐานสูงเท่าเทียมกันทุกรายการที่เขาจัด Challenge จะเน้นกิจกรรมของ local ใช้ทีมงาน local เน้นครอบครัวและสนับสนุนการแข่งขันในรูปแบบทีม โดยคอนเซปแล้วเหมือนว่า Challenge  จะน่าสนุกกว่า ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเขียนเล่าประสบการณ์นี้เท่าไร เนื่องจากว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก แม้จะเป็นครั้งแรกของอำนวยเพื่อนร่วมทีมคนเดียวที่มาลงเดี่ยวพร้อมกันในปีนี้ แต่อำนวยมีการเตรียมพร้อมที่ดีมาก พร้อมกับประสบการณ์ไตรกีฬามาแล้วถึงสองสนาม ทวิกีฬาอีกหนึ่งสนาม ผมจึงไม่รู้สึกว่าเขาเองจะตื่นเต้นสักเท่าไรนัก แต่มีสองอย่างที่ในที่สุดแล้วทำให้ผมลงมานั่งเขียนอยุ่ในวันนี้ นั่นคือ การไปภูเก็ตคราวนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาทักทายผมภายหลังการแข่งขัน เล่าให้ฟังว่าเขาอ่านบล๊อกนี้ของผม และเขาก็มาแข่งเป็นปีแรก ในรูปแบบทีม ผมไม่แน่ใจว่าเขาอ่านบทความเรื่องใด ไม่รุ้ว่าจะเป็นเรื่องราวของปีที่ผ่านมาที่ผมเขียนไว้หรือไม่ แต่ก็รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยก็มีใครบางคนได้ประโยชน์จากปลายปากกา หรือว่าปลายนิ้วของผม อีกเหตุผลหนึ่งคือผมจะต้องตรวจเลือกตับอักเสบอีกครั้งหลังจากแข่งขัน ผมจะได้ทราบว่าผลการแข่งขันที่ดีขึ้นหรือเลวลงนั้นมีคามเกี่ยวข้องกับปริมาณไวรัสในตับที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ของผมหรือไม่

1404432_253360724818409_1769189008_o

แม้ว่าจะประสบความสำเร็จกับการกระตุ้นให้เพื่อนร่วมทีมยกแกงค์และครอบครัวไปร่วมงานไตรกีฬาประจำปีที่หัวหินได้สำเร็จ แม้ว่ารายการดังกล่าวไม่ได้อยู่ในแผนของผม ก็พลาดไม่ได้ที่หัวหอกของทีมอย่างผมจะพลาด อ่อนซ้อม และการเดินทางแสนไกลทำให้ผลการแข่งขันไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่การได้เห็นเพื่อน ๆ มีความสุขกับความสำเร็จก้าวใหม่ของพวกเขาในวันนั้น มันก็คุ้มค่า แต่งานที่ภูเก็ตนี้แม้ว่าจะเป็น Triathlon Festival ที่จัดยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศมีการแข่งขัน back-to-back ทั้งระยะสั้นและยาว แต่ด้วยความโหดของเส้นทาง ความลำบากด้านโลจิสติก ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องที่ค่อนข้างสูง จากเป้าคนร่วมแข่งขันจากทีมที่เริ่มต้นด้วยเกือบ ๆ 10 คน ค่อย ๆ เงียบ ๆ หายไปจนในที่สุดเหลือเพียงผมคนเดียว ก่อนที่มนุษย์เหล็ก อำนวย จะตัดสินใจวินาทีสุดท้ายเข้าร่วมเป็นกำลังใจให้กับผม และสร้างชื่อไอรอนแมนให้กับตนเอง

ผมออกแบบตารางการซ้อมทั้งปีให้มาพีคที่รายการนี้เป็นรายการแรก ในการแข่งปีนี้จะมีการอัปเกรดจักรยาน ปรับแผนการซ้อม และเป็นปีที่ผมเข้าจัดการกับไวรัสตับอักเสบบีเป็นครั้งแรก หลังการแข่งขันเพียง 8 วันผมจะต้องไปอัลตราซาวน์ตับและเจาะเลือดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนทำการรักษา เมื่อดูภาวะแวดล้อมทั้งสิ้นแล้ว นี่เป็นการแข่งขันที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผม symbolically ผมจึงแสดงความตั้งใจเป็นพิเศษให้รายการนี้ด้วยการโกนขนขาซึ่งเป็นการแสดงถึงความจริงจัง และความเคารพต่อกีฬาชนิดนี้

IMG_1910

แม้ว่าผมจะเริ่ม season ค่อนข้างต้วมเตี้ยมด้วยเวลาในรายการสมุยที่ช้ากว่าปีที่แล้ว รายการสำคัญอันดับสองของผมที่กรุงเทพฯ ค่อนข้างออกมาดี เสียกำลังใจที่หัวหินเล็กน้อย เพราะก่อนหน้าการแข่งขันผมต้องทำการเจาะตับทำให้ไม่สามารถซ้อมจริงจังได้เป็นเวลาประมาณสองสัปดาห์ แต่รายการนี้ผมมั่นใจเต็มที่ ผมเตรียมจักรยานทุกคันให้พร้อมสำหรับรายการนี้ด้วยการเปลี่ยนเป็น compact crank  ทั้งหมด ผมซ้อมจักรยานมาเป็นอย่างดีตลอดทั้งปี รวมถึงการซ้อมว่ายน้ำที่เรียกว่าพร้อมเป็นพิเศษ จะมีเพลาเรื่องวิ่งอยู่บ้าง อาจจะเป็นเพราะจักรยานทุกคันเพิ่งปรับปรุงมาใหม่สำหรับฤดูการนี้ ร่วมกับผมไม่มีรายการวิ่งท้าทายใหม่ ๆ ที่รอคอยอยู่เลยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ช่วงสองสัปดาห์ก่อนแข่งขันนั้นตารางซ้อมผมเป็นเทเปอร์ที่เรียกได้ว่าลดจนเกือบใจหาย แต่ผมก็อดไม่ไหวที่จะออกไปปั่นเขาของรายการนี้ แบ่งระยะทาง 30 กม. แต่ปั่นช้าที่สุดเท่าที่ทำได้ ผมไม่ได้ต้องการวอร์มอัป แต่ทั้งนี้เพื่อเป็นการทดสอบเกียร์ของผมว่าที่เตรียมมานั้นเพียงพอกับเขาที่โหดที่สุดของรายการหรือไม่ แผนของผมคือไม่เข็นในทุกเขา แต่จะเก็บแรงให้มากที่สุดก่อนขึ้นเขาและจะปั่นที่เกียร์เบาที่สุดด้วยรอบที่ช้าที่สุด เพื่อให้ใช้ power ในการปั่นน้อยที่สุดนั่นเอง ผมลองใช้วิธีการนี้กับสองเขาสุดท้ายของรายการ อำนวยที่ปั่นร่วมกันมากับผมก็สามารถจัดการกับเขาทั้งสองได้โดยไม่ยากเย็นนัก หลังการออกปั่นผมก็มั่นใจว่าเป้าที่จะไม่เข็นเลยน่าจะเป็นเป้าที่ทำได้ ถ้าหากไม่มีอาการตะคริวเข้ามารบกวนเสียก่อน ส่วนสองเขาแรกเราไม่ได้ไปทดสอบเพราะฝนตกหนักแต่ผมมั่นใจว่าเขาที่สี่หรือเขาตรีศาลา นั้นโหดกว่าเขาศุภาลัยแน่นอนแม้ว่าในการ briefing จะยกนิ้วให้กับเขาศุภาลัยเป็นอันดับหนึ่ง

IMG_1930

รายการซ้อมของผมจริง ๆ แล้วคือ 600 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนชั่วโมงที่น้อยที่สุดที่เขาแนะนำให้ซ้อมถ้าต้องการแข่งขันในระดับไอรอนแมน แต่ที่ผมทำได้จริง ๆ นั้นไม่ถึง 1 ใน 3 เสียทีเดียว จากเป้าซ้อมสัปดาห์ละ 8-16  ชม. ทำได้จริง ๆ เฉลี่ยประมาณ 5 ชม.กว่า ๆ และมีพีคแค่ 12 ชม. เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น จะว่าไปผมอ่อนซ้อมถ้าจะอ้างถึงแผนการซ้อมอันนี้ แต่การเน้นจักรยานที่ตอนนี้เป็นจุดอ่อนสำคัญของผมก็ทำให้ผมกล้าที่จะตั้งเป้าหมายที่จะเอาชนะเวลาของทีมที่ทำเอาไว้เมื่อสามปีที่แล้ว ด้วยเวลา 6:36 ชม. เวลาว่ายน้ำ 45 นาที จักรยาน 3:30 ชม และวิ่งอีก 2:15 ชม. เมื่อดูส่วนประกอบนี้ดูแล้ว มีเพียงจักรยานเท่านั้นที่ผมจะเอาชนะมันได้ และต้องเอานะมันมาก ๆ ด้วยเพราะในการวิ่งเมื่อปีที่แล้วผมทำสถิติไว้ไม่ดีนัก อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันความเสียใจ ผมยังมีสถิติส่วนตัวที่ทำไว้ที่ 6:59 ชม เอาไว้คอยปลอบใจถ้าผมทำได้ไม่ตามเป้า ส่วนอำนวยตั้งเป้าไว้ที่ 8 ชม. เมื่อรู้ว่าผมทำไว้ครั้งแรกที่ประมาณ 7 ชม. ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเป้าหมายที่กำลังดี

1400283_254289781392170_1454280041_o

ปีนี้ผมออกมาที่งานค่อนข้างช้าเพราะข้าศึกไม่มาตามนัด ร่วมกับการติดตั้งที่ยุ่งยากกว่าปีที่แล้วเพราะผมมีอุปกรณ์ hydration ที่ซับซ้อนขึ้น มีการพกพา power gel ซึ่งระบบการให้น้ำและพลังงานของผมในปีนี้ก็ถือว่ายกเครื่องใหม่ทั้งหมด เพราะผมเริ่มมั่นใจว่าอาการตะคริวของผมเกิดจากผม hydrate ไม่เพียงพอ ในขณะที่อาการแผ่วปลายของผมมีสาเหตุหลักมาจากผมเติมพลังงานไม่เพียงพอ ในคราวนี้มีการใช้ถุงเท้า ปลอกแขน และอื่น ๆ ที่ปกติผมไม่เคยใช้ สิ่งเหล่านี้ผมคาดว่าผมจะต้องใช้ในระยะไอรอนแมน ผมจึงเพิ่มเข้าไปในจุด transition ในครั้งนี้เพื่อความคุ้นเคย เนื่องจากผมไม่ค่อยชอบซ้อม transition ที่บ้าน ผม set up  จักรยานจนหมดเวลาต้องไปที่จุดเริ่มต้น ผมเดินหาอำนวยอยุ่พักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจออกไปว่ายสั้น ๆ เพื่อเป็นการยืดเส้นยืดสาย ในการแข่งขันนี้ผมเริ่มต้นเป็นกลุ่มแรกสำหรับมือสมัครเล่น ซึ่งด้วยการเริ่มต้นเนิบ ๆ แบบผม และความเร็วปานกลางก็จะถูก wave หรือ 2 wave ที่ตามมาแซงได้จำนวนหนึ่ง แต่สำหรับอำนวยนั้น คาดว่าคงได้ว่ายอยู่ในกลุ่มใหญ่ของ wave ที่ตามมาอย่างแน่นอน

1167438_254289851392163_149199900_o

ผมออกตัวไม่ได้รอเหมือนปีที่ผ่านมา ผมออกตัวในกลุ่มกลาง ๆ แล้วก็พบว่า มันไม่น่าจะทำให้ผมเร็วขึ้นได้เลย เพราะผมไม่สามารถทำความเร็วได้ คนเกะกะไปหมด ออกซ้ายก็ไม่ได้ ออกขวาก็ไม่ได้ ริบบิ้นลายธงชาติที่ผมผูกข้อมือเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านคอรับชั่นในวันนี้ค่อย ๆ เลื่อนหลุดออก ผมเอามือคว้าไว้ได้ทันแล้วพยายามยัดมันลงในอกเสื้อของผม ปีนี้ผมรู้สึกว่าผมว่ายได้ไม่ค่อยดีเมื่อเทียบกับปริมาณการซ้อมว่ายน้ำที่ทุ่มเทลงไป แม้ว่าเวลาซ้อมผมจะทำความเร็วได้ที่ 1:45/100m เวลาแข่งผมก็ยังทำได้เท่า ๆ เดิมที่ 2:xx/100m เช่นเดียวกันปีที่แล้ว แถมเวลารวมที่ช้าลงเกือบหนึ่งนาที ทั้ง ๆ ที่สภาพทะเลไม่ได้โหดร้ายเท่า สงสัยงานต่อ ๆ ไปผมคงต้องขอไปออกตัวด้านหน้า ๆ แก้ปัญหาตามก้นชาวบ้านบ้างเสียแล้ว อีกอย่างอาจจะเป็นเพราะเมื่อก่อนผมไม่ซ้อมว่ายน้ำเลย เวลาว่ายก็กะว่าให้เหนื่อย ๆ ประมาณ RPE 4 แต่คราวนี้เนื่องจากซ้อมเยอะเลยพยายามเก็บที่ RPE 3 มาแบบไม่เหนื่อยแต่เวลาเลวร้ายหน่อย ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าในการแข่งจริง ๆ นั้นจะ pace อย่างไร ข้อดีอย่างนึงของการขึ้นจากน้ำแบบเหนื่อยน้อยคือ สภาพรูปที่ถ่ายออกมาค่อนข้างสวย ทำมาหากินได้ เอาวะ ถือว่าได้อย่างเสียอย่าง ผมพยายามควานหาริบบิ้นลายธงชาติที่ผมเก็บไว้ที่ในเสื้อ แต่ก็ไม่พบ ใจคิดว่านี่คงเป็นสัญญาณที่ดี มันคงหมายถึงไทยคงได้เป็นอิสระเสียที ผมคงเหลือริบบิ้นธงชาติอีกเส้นที่โบกสะบัดที่ท้ายหลักอานของจักรยานของผม
IMG_1983

ผมออกปั่นด้วยความเครียดน้อยมากเพราะเริ่มเข้าใจปฏิกิริยาของร่างกายในตอนปั่นจักรยาน ผมพยายามคุม HR และ Power ให้อยู่โซน 4 ไม่กระฉอกขึ้นสูงเหมือนการแข่งขันอื่น ๆ ที่ผมจะตื่นเต้นเมื่อเริ่มต้นปั่นจักรยานทำให้เสียพลังงานมากเกินไปในช่วงแรก ผมแทบไม่ได้ดูความเร็ว เวลาหรือค่าเฉลี่ยใด ๆ เลย ใจผมมุ่งมั่นอยู่ที่ Power Zone 4 เท่านั้น ในขณะที่เหลือบ ๆ ดูว่า HR ของผมพุ่งเกินไปหรือไม่ ซึ่งปรากฏว่าหัวใจผมเต้นในระดับ 160 ซึ่งเป็นจังหวะ Tempo เท่านั้นยังไม่เข้าใกล้ Threshold ของผม อย่างไรก็ตาม race marshall ปีนี้ค่อนข้างจะเข้มงวดเล็กน้อย ในกลุ่มเดียวกับที่ผมปั่นจะมี race marshall  ที่คอยตามเพราะมีกลุ่มปั่นอยู่ใกล้ ๆ กันหลายคน ซึ่งแน่นอนว่ามีความเสี่ยงของการ drafting ซึ่งเป็นข้อห้าม ปัญหาที่เกิดกับผมก็คือผมพยายามใช้ power ที่คงที่และทักษะการเข้าโค้งที่อาจจะดีกว่าหลาย ๆ คน เมื่อถึงโค้งทีไรผมเข้าประชิดกับคันข้างหน้าทุกที พอจะเร่งเท่านั้นแหละ ก็โดนตะโกน เป็นอย่างนี้สองสามครั้งจะกระทั่งครั้งสุดท้าย race marshall ถึงกับตะโกนเรียกหมายเลขของผม 377 point ผมตกใจจนเบรคทิ้งระยะลงมาเกือบ 100 ม. ด้วยความงง และไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วผมต้องจอดให้เขียน point บนป้ายผมหรือไม่ แต่ดูไปดูมาเขาก็ไม่ได้บอกให้จอด และผมก็ถอยลงมาจนไกลมาก ผมต้องเจอกับ marshall คนนี้และทำให้ไม่สามารถเร่งความเร็วได้เลย ไปพักใหญ่ ๆ เพราะเท่าที่เห็นกับคันข้างหน้าแต่ละคนก็โดนไปคนละทีสองที จนกระทั่งมีคนนึงที่ถูกปรับจอดจริง ๆ ผมจึงรีบเร่งออกไปให้ห่างจากเขาให้มากที่สุด ถือว่าเป็นช่วงตัดกำลังใจ และตัดความเร็วไปเยอะจริง ๆ


1450911_764244203592667_557843602_n

และแล้ว ช่วง 40 km แรกผ่านไปอย่างรวดเร็วและในที่สุดผมก็เข้าใกล้เขตเขาที่หนึ่ง ผมเคยปั่นขึ้นเขานี้แล้วหนึ่งครั้ง เข็นอีกหนึ่งครั้ง ผมจำเขานี้ได้ดี แม้ว่าเนินแรกจะดูน่ากลัวเพราะเราจะเห็นยอดเขา (ที่จริง ๆ แล้วเราไม่ต้องปั่นขึ้นไป) ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ด้านข้างเป็นเหวย่อม ๆ มีราวกันตกกั้นโดยตลอด ผมจำได้ว่าเลยโค้งและเนินนี้จะมีช่วงพักเล็กน้อยก่อนที่จะชันขึ้นไปสั้น ๆ เป็นมุมมองที่น่าเกรงขามแต่ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใจคนสร้างภาพไว้ เขาแรกเป็นการกระตุ้นบรรยากาศการแข่งขันได้ดี ผมรู้ว่าเขาศุภาลัยที่อยู่ถัดไปหนักหนาสาหัสกว่ามาก

ผมพยายามเลี้ยง Power Zone 4 มาเรื่อย ๆ จนเข้าเนินของเขาศุภาลัยอันโหดร้าย ซึ่งสมคำร่ำลือจริง ๆ แม้ผมค่อย ๆ ปั่นช้า ๆ เกียร์เบา ๆ รอบต่ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ เนินเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีวันจบสิ้น เนินที่ชันขึ้นทีละเล็กละน้อย ค่อย ๆ เข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า ผมเริ่มจะเชื่อว่าบางทีที่ศุภาลัยนี่อาจจะเป็นเนินที่โหดที่สุด ผมเริ่มนึกถึงปีที่ผ่านมาที่มีฝนตกหนัก มีสายน้ำไหลเชี่ยวลงจากเขา ไหล่ทางที่ลื่น วันนี้ไม่มีฝน และตอนนี้ผมยังนั่งปั่นได้โดยไม่ระเบิดหัวใจ แต่ทันใดนั้นชะง่อนเนินสุดท้ายก็พุ่งเข้ามาผมต้องรีบยกตัวขึ้นทิ้งน้ำหนักลงไปบนเท้าหมุนล้อเร่งจักรยานขึ้นไปก่อนที่ความเร็วจะตกจนผมล้มไถลลงไปกับพื้นถนน ปั่นได้เพียง 2 ก้าวล้อหลังก็เริ่มฟรี นี่แหละความโหดของเนินที่เขาที่ร่ำลือกัน เหลืออีกเพียง 30 ม.ก็จะถึงยอด ผมรีบนั่งลงแล้วกัดฟัน มือซ้ายขวาสลับกันดึงรั้งเมื่อผมใช้พลังงานที่เหลืออยู่อัดเข้าที่บันไดเพื่อเร่งรอบขาทำความเร็วให้ข้ามเนินให้ได้ “Keep spinning, only 20 meters to go” เสียงกองเชียร์ชาวต่างชาติมาทันยกกำลังใจผมที่กำลังจะถดถอยลง ต้องขอบคุณเสียงนั้น และแล้วผมก็ผ่านมาไปได้

0513_03672

หลังจากเขาศุภาลัยผมรู้ว่ากว่าจะเจอเขาอีกครั้งหนึ่งก็จะประมาณ  80 กม. ช่วงนี้มีเวลาที่จะพักและทำความเร็วค่อนข้างจะมากเลยทีเดียว ในเที่ยวกลับนี้ผมปั่นสวนกับอำนวยบนเส้นทางสวนเพียงเส้นเดียวของงานนี้ ซึ่งหมายความว่าอำนวยอยู่ไม่ห่างจากผมมากมายนัก ถือว่าเป็นความเร็วที่น่านับถือเลยทีเดียวสำหรับคนที่เพิ่งซื้อจักรยานมาได้ 6 เดือน ผมโบกมือทักทายเล็กน้อย ก่อนที่จะกดหัวปั่นต่อไป ผมเริ่มเห็นประโยชน์อย่างจริงจังของ power meter เพราะในรายการนี้ผมควบคุม Power เป็นหลัก เพื่อที่จะไม่ให้เกิดการล้าของกล้ามเนื้อจนกระตุ้นให้เกิดตะคริว เพราะนั่นจะทำลายเป้าหมายสูงสุดของผมก็คือไม่ลงเข็นนั่นเอง ยังไม่ทันไรพอเข้าพื้นที่ของ 70km ขาผมก็เริ่มมีอาการตึง ๆ นิด ๆ ตะคริวที่น่องทั้งสองข้างกำลังมา ผมรู้ว่าอีกเพียง 10km ผมจะถึงย่นเขาที่โหดร้ายที่สุด ผมต้องเก็บอาการไว้ให้ได้ เพราะการที่จะต้องกดแรง ๆ ขณะขึ้นเขามีโอกาสทำให้ตะคริวโจมตีได้โดยง่าย แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเพราะเส้นทางเข้าสู่สองเขาสุดท้ายก็เป็นเนินน้อย ๆ ซึม ๆ ที่ต้องใช้กำลังขาพอสมควร ต้นขาผมเริ่มออกอาการคล้ายตะคริวจะถามหา ผมจึงตัดสินใจชะลอตัวอย่างเต็มที่ เปลี่ยนเป็นเกียร์ที่เบาที่สุดแล้วเลี้ยงตัวเข้าสู่เขาที่สาม ยุทธวิธีนี้ได้ผล เขาที่สามผ่านไปอย่างง่ายดาย แต่เขาที่สี่ที่ตรีศาลารออยุ่ใกล้ ๆ ผมเลี้ยงขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเห็นโค้งสุดท้ายที่จะหัดศอกไต่ขึ้นไปชันที่สุดของสนามนี้

ผมตีออกขวาทันที่ที่มองเห็นโค้ง หวังแต่เพียงว่าจะไม่มีรถสวนลงมา หรือถ้ามีผมก็จะยังน่าที่จะไต่ขึ้นตามไหล่ทางได้ ผมพยายามนั่งให้นานที่สุด แล้วมายืนโยกเพียงไม่กี่ขาให้พ้นช่วงโค้งนั้นเท่านั้น ผมรู้ว่าหลังจากนี้จะยังมีเนินโหด ๆ ตามมาที่จะต้องเก็บแรงไว้อัดให้พ้น แผนนี้ก็ได้ผลอีกเช่นเคย เมื่อผ่านโค้งมรณะมาถึงทางลาดสั้น ๆ ได้พัก เนินชันยาว ๆ สองช่วงรอผมอยู่ ขาผมล้าเต็มที่แล้ว การนั่งปั่นเริ่มเป็นไปไม่ได้ ผมเริ่มตัดสินใจว่าเฮือกสุดท้ายที่ผมจะต้องยกตัวขึ้นแล้วกัดฟันไปให้ถึงยอด ผมใช้กำลังทั้งหมดที่มี กัดฟัน มือซ้ายขวาสลับกันดึง จนกล้ามเนื้อเกร็งไปทั้งตัว และแล้วผมก็สามารถผ่านข้ามมันมาได้โดยขาไม่แตะพื้นแม้แต่ครั้งเดียว ผมยิ้มให้กับน้องพนักงานไบค์โซนที่เอา Go Pro มาวิ่งถ่ายตอนผมอัดขึ้นมา ผมไม่แน่ใจว่าผมจะได้เห็นภาพเหล่านั้นมั้ย แต่การถูกบันทึกลงในวิดีโออาจจะเป็นกำลังใจหนึ่งที่ทำให้ผมข้ามเขาตรีศาลานี่มาก็ได้

IMG_2206

ในช่วง 10km สุดท้ายผมเริ่มเก็บแรงขา ปล่อย spin เบา ๆ หลาย ๆ ครั้ง เพื่อไล่ตะคริวให้หมดไป ผมทำเวลาเข้าสู่ T2 ได้รวดเร็วจนผมเองก็ต้องตกใจ เมื่อดูเวลารวมแล้ว เพิ่ง 3:50 ชม. เท่านั้น ถ้าผมสามารถวิ่งฮาร์ฟมาราธอนภายใน 2:10 ชม. ผมก็จะทำเวลาได้ต่ำกว่า 6 ชม. นั่นหมายความว่าไม่เพียงผมจะสามารถเอาชนะตัวเองเมื่อปีที่แล้ว ทำเป้าหมาย 6:37 ชม. ได้แล้ว ผมยังทำสถิติที่เรียกว่าน่าเกรงขามระดับหนึ่งเลยทีเดียว ผมเข้าสู่ T2 อย่างสบายใจ ค่อย ๆ เปลี่ยนรองเท้าใส่หมวก คว้าปลอกแขน และ hydration belt ผมลังเลเล็กน้อย เพราะสนามนี้มีน้ำให้ตามระยะ 1.5 กม. ซึ่งถือว่าถี่พอสมควร แต่สุดท้ายแล้วผมตัดสินใจคว้ามันออกมาด้วย ในใจผมคิดว่าถ้าผมวิ่งได้ดี ผมจะสามารถใช้น้ำของผมเองเกือบทั้งการแข่งขันไม่ต้องแวะเข้าจะให้น้ำเลย หรือถ้าผมวิ่งได้ไม่ดี ผมก็ยังสามารถดื่มน้ำได้ตลอดเวลาที่ผมต้องการซึ่งเป็นผลดีต่อกำลังใจ ผมวิ่งออกจาก T1 มาเจอกับครอบครัวที่ยืนรออยู่ผมวิ่งเข้าไปทักทายกับลูกชายคนโตอยู่พักใหญ่ ไม่ทันเห็นลูกสาวคนกลาง ซึ่งภรรยาผมบอกภายหลังว่ายืนอยู่ข้าง ๆ กัน เลยไม่รู้ว่าสาวน้อย ซาช่าจะมีอาการน้อยใจหรือไม่

2 กม.แรกผมทำเวลาค่อนข้างดีที่ความเร็ว 6 min/km ซึ่งเร็วกว่าเป้า แต่ไม่นานนักขาของผมก็เริ่มไม่ทำงาน hydration belt ที่ดูเหมือนว่าผมจะไม่อยากจะหิ้วมาตั้งแต่แรก เริ่มทำตัวมีปัญหา บน Tri-suit ที่ลื่นปรื๊ด Belt คอยจะเด้งขึ้นเด้งลงตลอดเวลา จนในที่สุดกระติกน้ำรูปไตก็คอยที่จะเด้งหล่นลงพื้นตลอดเวลา ซึ่งน่ารำคาญและเสียสมาธิเป็นอย่างมาก ผมวิ่งไปเจอคุณไตร เจ้าของร้านไบค์โซน ที่แซงผมในช่วงจักรยานมาเหมือนว่าจะนานแสนนานตั้งแต่ก่อนเขาที่หนึ่ง ผมแปลกใจเล็กน้อยผมจึงเข้าไปทักทาย และวิ่งคู่กันไป ทันใดนั้นเจ้ากระติกรูปไตก็กระเด็นหลุดอีกครั้ง ผมต้องหันกลับไปเก็บและปล่อยคุณไตรวิ่งต่อไป ผมตามคุณไตรทันอีกครั้งเมื่อเขาเข้า pit stop ก่อนที่เขาจะกลับมาแซงผมได้อีกครั้งในเวลาไม่นานนัก ความเร็วผมเริ่มตกจนเห็นได้ชัด ตอนนี้ผมเริ่มต้องเอากระติกขึ้นมาถือบนมือทั้งสองข้าง เนื่องจากมีการหล่นบ่อยครั้ง ความเหนื่อย ความล้า ความเร็วที่ตกลง ผมเริ่มไม่สามารถคุมความเร็วได้และพาลหลุดไป 7min/km บ่อยขึ้น

IMG_1979

ผมจำเป็นต้องตั้งสติให้ดี โฟกัสกับตัวเอง ตอนนี้วิ่งผ่านมากว่า 5 km แล้ว ผมยังทำเวลาได้ 30 เศษ ๆ ไม่ถึง 35 นับว่าไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก ผมเริ่มต้ังเป้าแบบเบา ๆ ว่าผมขอแค่เฉลี่ยนเพียง 7 min/km หรือ จบฮาร์ฟมาราธอนนี้ที่ 2:27 ชม. น่าจะเพียงพอ ซึ่งจะทำให้เวลารวมผมอยู่ในช่วง 6:17ชม.  ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 20 นาที และเร็วกว่าเดิมถึง 40 นาที ผมเริ่มนับถอยหลังครั้งละ 1 km และคำนวณเวลาที่ผมได้กำไร ความเร็วของผมค่อย ๆ ดีขึ้น คงที่ขึ้นเฉลี่ยได้ 6:30-7:00 ซึ่งผมค่อนข้างพอใจ ที่จะไปตามใครทัน หรือวิ่งแซงใครผมไม่คิดแล้ว จิตใจแน่วแน่อยุ่ที่ความเร็วที่ตั้งไว้ และเวลาที่มีเหลือเพื่อที่คงความเร็วเฉลี่ยให้ได้ตามเป้า

เมื่อ 10.5 km แรกผ่านไปผมรู้สึกดีขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมวิ่งได้เร็วขึ้น ผมแอบว่า hydration belt ลงใกล้ ๆ กับเส้นชัย ตอนนี้มือผมว่าง ผมไม่รู้สึกหนักขาอีกต่อไป ผมเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย พยายามดันให้ HR ผมขึ้นไปแตะ 160 ให้ได้ แต่ทำเท่าไรก็ไม่ได้ ขาผมไม่ค่อยตอบสนอง จึงต้องประคองที่ความเร็วเดิมไป และปล่อยให้ HR เต้นที่ประมาณ 155 เท่านั้น นั่นหมายความว่าข้อจำกัดของผมตอนนี้กลายเป็นกล้ามเนื้อ หรือไม่ก็พลังงานสะสม แต่ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ค่อยออก ยกเว้นแต่การคำนวณเวลาเท่านั้น แม้ว่าทางรายการจะมีแจก poewr gel จำนวนมาก ผมก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเข้าไปรับมากินเลย ผมจึงไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วทำไมผมถึงเร่งเครื่องไม่ขึ้นทั้ง ๆ ที่ HR ไม่แสดงความเหนื่อยให้เห็นเลย

IMG_1984

ผ่านเป็น 15 km ผมมีเวลาเหลือเฟือเก็บไว้ในกระเป๋า ผมจึงตั้งเป้าใหม่ 6:10ชม. ทันใดนั้นผมก็เห็นอำนวยวิ่งสวนกลับมา พร้อมกับตะโกนว่า “เพิ่งถึงนี่เองเหรอวะ?” ผมตอบเออไปแบบงง ๆ ก่อนที่จะมาเข้าใจภายหลัง สมองเริ่มทำงานได้จำกัด เนื่องจากออกกำลังกายอย่างหนักต่อเนื่องมา 5 ชั่วโมงกว่า ๆ แล้ว นี่ถ้าไปไอรอนแมนเราต้องพูดกันถึงตัวเลข 13-15 ชม. เลยนะเนี่ย มันจะเป็นอย่างไรไม่ค่อยอยากจะคิดตอนนี้เท่าไรเลย ผมคำนวณเวลาเฉลี่ย และ pace ทุก ๆ กิโลเมตรที่ผ่านเข้ามา เพื่อให้เวลามันผ่านไปเร็วขึ้น ผมเริ่มเข้าจุดให้น้ำทุกจุด เพิ่มการเดินเข้าไปทุกครั้ง น้ำสองแก้ว ฟองน้ำสองก้อน เป็นกิจกรรมที่ดูเหมือนว่าลดความเครียดจากการนับถอยหลังลงไปได้บ้าง

ช่วงเวลา 2 km สุดท้ายค่อนข้างจะสบาย ๆ สำหรับผม เมื่อเทียบกับเมื่อปีที่ผ่านมา ผมยังสามารถคงความเร็ว 6:30 min/km ได้สบาย ๆ แม้ว่าจะไม่สามารถเร่งไปได้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่รู้สึกทรมาน เมื่อเข้าโค้งสุดท้ายเพื่อวิ่งตรงเข้าเส้นชัย ผมมองไปทั่ว ๆ พยายามหาครอบครัวของผม แต่ก็ไม่เห็นใคร ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เหลือบมองนาฬิกา แล้วพบว่าผมน่าจะทำเวลาได้ดีกว่า 6:10 ชม. อย่างแน่นอน สงสัยว่าตารางเวลาที่ผมเขียนให้พวกเขาจะไม่ค่อยแม่นยำ เพราะผมกะว่าจะเข้าประมาณ 6:30-6:50 ชม. ในกระดาษที่ผมคำนวณให้พวกเขาไว้ ในที่สุดผมก็เข้าเส้นชัยได้ด้วยเวลา 6:08:55 ชม. เร็วกว่าปีที่ผ่านมาถึง 51 นาที เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 28 นาที เป็นสัญญาณของความแข็งแรงที่ดี  หลังจากวันนี้ 8 วัน การตรวจเลือดของผมน่าจะให้ผลสวย ๆ เช่นนี้ออกมาเช่นกัน

0513_02769

ผมเข้าเส้นชัยมาเจอกับคุณหมอ Krongchai สมาชิกใหม่ของทีมที่มาปั่นแบบทีมผลัด เราถ่ายรูปร่วมกันเล็กน้อย แต่กิจกรรมนี้ทำให้ครอบครัวผมรับรู้ถึงการเข้าเส้นชัยของผมแล้วตัดสินใจรออยู่ในห้องพัก ผมขอตัวไปหาน้ำและอาหารทาน พร้อมกับใช้บริการนวดจากบันยันทรี ความรู้สึกของผมค่อนข้างดีมากเมื่อเทียบกับการแข่งขันครั้งอื่น ๆ ที่จะค่อนข้างทรมานเวลานวด หลังจากนวดเรียบร้อยผมก็ตัดสินใจออกมานั่งรออำนวยเพราะคาดเดาเอาว่าคงอีกไม่เกินครั้งชั่วโมงอำนวยน่าจะเข้าเส้นชัยถ้าทำเวลาห่างจากผมสักหนึ่งชั่วโมง ผมรออยุ่ค่อนข้างนานจนไม่มั่นใจว่าอำนวยเข้าเส้นไปก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง แล้วในที่สุดอำนวยก็วิ่งสบาย ๆ เข้าเส้นมาด้วยเวลา 7:38 ชม. เวลาที่น่าประทับใจกับนักไตรกีฬาปีแรก ที่เพิ่งซื้อจักรยานไม่เกิน 6 เดือน เราถ่ายภาพกันเล็ก ๆ น้อย ๆ อำนวยบ่นแบบเดิม ๆ เหมือนกับที่บ่นตั้งแต่รายการแรกที่สมุย รายกรที่สองที่กรุงเทพ และรายการที่สามที่หัวหิน บ่นว่าเบื่อ

1479150_544503828974763_7490656_n

เราแยกย้ายกันไปพักผ่อน อำนวยแวะมาคุยสัพเพเหระที่โรงแรมในเย็นวันนั้น ก่อนที่จะบอกลา วันรุ่งขึ้นเราจะเริ่มแยกย้ายกันไป ผมถือโอกาสไปพักผ่อนที่พังงาต่ออีกวันก่อนค่อย ๆ คลานไปกระบี่อีกหนึ่งวัน แล้วกลับปัตตานี ผมใช้เวลาทั้งสัปดาห์พักผ่อน งดการออกกำลังกาย ผมมีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อยเนื่องจากติดหวัดจากเด็ก ๆ และมีไข้ต่ำ ๆ ในขณะที่อำนวยออกไปพักในตัวเมืองภูเก็ตหนึ่งคืน ก่อนที่จะไปพักที่ชุมพรอีกคืน แล้วไปต่อที่หัวหินในวันที่ 5 ธันวาคม พร้อมกับการเริ่มซ้อมวันแรกหลังจากแข่ง ผมเชื่อว่า Tri Bug ได้กัดอำนวยเข้าแล้ว จากวันนี้เขาคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เตรียมพบกับบทใหม่ของ Ironman อำนวยกันได้แน่นอนครับ