สงขลามาราธอน : Welcome to ITBS

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมานี้ผมเข้าร่วมการแข่งขัน สสส. สงขลามาราธอน นานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ  แม้ว่าจะอ่อนซ้อมเสียเหลือเกิน เนื่องจากภาระการเดินทางที่ถี่จนไม่เป็นอันซ้อมทำให้ในช่วงเวลาก่อนหน้าผมมีเวลาฝึกซ้อมสำหรับรายการนี้เพียงหนึ่งสองครั้ง นั่นคือ วิ่งระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร และอีกครั้งคือ ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร ทั้งสองครั้งห่างกันถึงหนึ่งสัปดาห์ และห่างจากวันแข่งขันหนึ่งสัปดาห์ นอกจากนี้ยังไม่ได้มีการออกกำลังกายประเภทอื่นเลย แม้ว่าระยะทางประมาณนี้จะอยู่ในระดับคงที่แล้วสำหรับ base ที่ผมสร้างมาเป็นเวลาหนึ่งปี แต่ในใจผมคิดเสมอว่าถึงแม้หัวใจจะเอาอยู่ แต่ช่วงล่างอาจจะรับไม่ได้เพราะเป็นงานหนักแบบเป็นช่วง ๆ เพื่อนนักวิ่งของผมก็เห็นด้วยว่าถ้าเป็นแบบนี้นาน ๆ ไปไม่ดีแน่

ผมใช้เวลาตัดสินใจไม่นานนักที่จุดรับสมัคร ที่จะลงระยะฮาร์ฟมาราธอน เนื่องด้วยภาวะอ่อนซ้อม ระยะมาราธอนไม่ถึงแน่ แต่วิ่งมินิมาราธอน มันสั้นเกินไปสำหรับผมแล้ว ไม่ค่อยคุ้มค่าตื่นเช้าเท่าไร ในคืนก่อนหน้าที่จะวิ่งผมต้องไปร่วมงานมงคลสมรส ซึ่งไม่ส่งผลดีกับผมนัก เพราะผมไม่ค่อยถนัดการรับประทานอาหารในงานใด ๆ ผมทานได้ไม่มากนัก อีกทั้งลูก ๆ ทั้งสองที่เล่นมาทั้งวันเริ่มออกอาการงอแง เราจึงต้องหนีออกจากงานล่วงหน้า ก่อนที่อาหารจานหลักจะออกเสริฟ อย่างไรก็ตามยังโชคดีที่เพื่อนของผมที่ดูแลที่พักในคืนนี้ จัดอาหารเย็นเตรียมไว้ให้ ผมจึงทานเพิ่มอีกนิดหน่อยเวลาประมาณสามทุ่ม และพยายามรีบเข้านอน เพราะตีสามผมก็ต้องเริ่มตื่นมาเตรียมของแล้ว

ผมนอนหลับอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะเป็นเวลาสั้น ๆ ไม่เพียงกี่ชั่วโมง ผมก็รู้สึกว่าได้นอนเต็มอิ่ม ผมจัดอาหารเช้าเตรียมไว้เล็กน้อย แล้วก็ออกรถเพื่อเดินทางจากที่พักบนเกาะยอ เข้าร่วมงานบริเวณชายหาด สงขลา แม้ว่ามีการหลงทางเล็กน้อย ผมก็ยังเหลือเวลาที่จะได้วิ่งวอร์มสั้น ๆ เข้าห้องน้ำ และยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะมายืนรอการปล่อยตัว งานนี้ไม่มีเสียเวลาเลยแม้แต่น้อย การจัดงานค่อนข้างดีครับ แต่คนไม่มากนักจึงไม่คิดว่าน่าจะมีปัญหาอะไร เมื่อเสียงปล่อยตัวดังขึ้นผมค่อย ๆ เดินออกไป และเริ่มวิ่งช้า ๆ เนื่องจากรู้ดีว่าซ้อมมาไม่ดีและวอร์มอัปไม่มากนัก

แต่แล้ว เมื่อระยะทางผ่านไปไม่เกินสองกิโล ผมก็เห็นเป้าหมายของผม ลุงรุ่นอายุ 60 ท่าทางแข็งแรง ผมคิดในใจว่าลุงน่าจะทำเวลาต่ำกว่าสองชั่วโมงแน่ ๆ ถ้าแกวิ่งไม่เร็วนัก เราเกาะ ๆ ไปก็น่าจะได้เวลาค่อนข้างดี ผมจึงตัดสินใจค่อย ๆ เกาะคุณลุงไป และเป็นไปตามคาดคุณลุงทำเวลาค่อนข้างดีสม่ำเสมออยู่ในช่วงที่ผมยังสามารถวิ่งตามได้ค่อนข้างสบาย ๆ แต่หารู้ไม่เวลาเฉลี่ยของคุณลุงอยู่ในระดับ 5 นาทีต้น ๆ เลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดของผม แต่สำหรับระยะฮาร์ฟมาราธอนที่ความเร็วประมาณนี้ ที่ระยะทางห้ากิโลเมตรแรกแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ สำหรับผมเลยทีเดียว

เนื่องจากผมใช้ระบบ Percieve Exertion ในการฝึกซ้อม ในการแข่งขันผมความรู้สึกนี้ผมจึงใช้ในการซ้อมและแข่งขัน อย่างไรก็ตามผมยังใช้มันได้ไม่ค่อยดีนักในการแข่งขันและมักจะทำให้ผมวิ่งเร็วเกินไปในช่วงแรกของการแข่งขัน ผมพยายามถามตัวเองเรื่อย ๆ ขณะที่วิ่งตามลุงคนนั้นไปเรื่อย ๆ ผมคุยกับลุงเขาบ้างเล็กน้อย ในเชิงบ่น ๆ ว่าลุงเขาวิ่งได้เร็วจริง ๆ ลุงเขาก็เพียงเปรย ๆ ว่าช่วงแรกน่ะอย่าวิ่งให้เร็วมาก อย่าให้หมด ค่อยมาวิ่งกันจริง ๆ ในครึ่งหลัง ขณะนั้นความรู้สึกของผมก็ยังค่อนข้างดีอยู่ ยังสามารถไล่ตามคุณลุงไปเรื่อย ๆ ได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น

ก่อนผ่านระยะกลับตัวคุณลุงเริ่มเจอเพื่อน ๆ ที่กลับตัวกันไปบ้างแล้วตะโกนแซว ว่าวิ่งช้าเกินไปแล้วนะ ผมยังไม่ได้เอะใจอะไร เมื่อถึงเวลากลับตัวเวลาของเราอยู่ที่่ 52:31 นาที ซึ่งเป็นความเร็วที่ไม่ได้ช้า แต่ก็ไม่ได้เร็วจนน่าตกใจ แต่ที่น่าตกใจกลับเป็นการกลับตัวของคุณลุง ผมเพิ่งเข้าใจสิ่งที่คุณลุงพูดถึง ความเร็วของคุณลุงดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การวิ่งไล่คุณลุงนั้นไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมาเสียแล้ว อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณ Base ที่ผ่านมาของผม แม้ว่าจะเหนื่อยอยู่สักหน่อย ผมก็ยังสามารถเกาะหลังคุณลุงไปได้เรื่อย ๆ

คุณลุงเริ่มคุยกับผม ด้วยคำถามแรกว่าอยู่รุ่นไหน เอาซะแล้ว มันเป็นคำถามของคนที่ต้องการอันดับในการแข่งขัน ผมไม่ชอบการแข่งขันเอาเสียเลย พอผมบอกว่าผมอยู่รุ่น 40 คุณลุงก็ดูใจดีขึ้นมาในทันที บ่น ๆ ว่านึกว่าจะอยู่รุ่นเดียวกัน โหลุงก็ ไม่ทำร้ายจิตใจผมไปหน่อยเรอะ จากนั้นลุงแกก็เริ่มสาธยาย แกบอกผมว่าเกาะให้ดี ๆ นะ ถ้าตามลุงทันเนี่ย ในรุ่น 40 ก็คงได้อันดับไม่เกินที่ 30 ได้ยินเท่านั้น ผมเริ่มเหนื่อยขึ้นมาอย่างทันทีทันใด เหนื่อยขึ้นมาอย่างทันทีทันใด แต่ก่อนที่จะถูกความเหนื่อยเอาชนะใจผมไปนั้น ที่ระยะกิโลเมตรที่ 14 ผมเริ่มมีความรู้สึกแปลบขึ้นมาที่บริเวณเข่าเล็กน้อย ซวยละผมเริ่มคิดในใจ

ก่อนหน้านี้ ผมมีอาการบาดเจ็บบริเวณฝ่าเท้าขวา ทำให้ผมซ้อมได้ไม่เต็มที่ ร่วมกับการเดินทางที่ค่อนข้างถี่ การซ้อมระยะประมาณมินิมาราธอนเพียงสัปดาห์ละครั้งนั้นมีผลต่ออาการบาดเจ็บของผมเล็กน้อย อาการบาดเจ็บบริเวณฝ่าเท้าขวาค่อนข้างจะรบกวนการวิ่งของผมในช่วงการซ้อม และทำให้ผมต้องเลี่ยงไปใช้งานขาซ้ายค่อนข้างมากกว่าปกติเล็กน้อย ในการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่มีอาการบาดเจ็บของฝ่าเท่้ามารบกวนอีกแล้ว แต่ในใจผมยังค่อนข้างกลัวอาการจะย้อนกลับมาอีกครั้งในระหว่างแข่งขัน ผมจึงค่อนข้างจะเกร็งเท้าขวา และลงน้ำหนักด้านขาซ้ายมากเป็นพิเศษ

แต่แล้วมันก็กลับมาย้อนสุ่ตัวผมจนได้ ความรู้สึกแปลบ ๆ เริ่มกลายเป็นความรู้สึกคงที่ เริ่มส่งผลต่อการลงน้ำหนักตัวลงบนขาซ้าย ผมต้องก้าวสั้นลงเรื่อย ๆ ตอนนี้คุณลุงได้หนีหายไปจากผมแล้ว จากความเร็วประมาณ 5:20 นาทีต่อกิโล ความเร็วผมตกลงเหลือ  7 นาทีกว่า ๆ และในที่สุดผมก็ไม่สามารถงอเข่าซ้ายได้อีกต่อไป เพราะอาการเจ็บมันเหลือจะเกินทน ผมต้องเปลี่ยนเป็นเดินในทันที ที่กิโลเมตรที่ 18 ตอนนี้เวลาเท่าไรผมเริ่มไม่ค่อยสนใจแล้ว ผมสนใจเพียงแต่ว่าผมจะฟื้นทันเพื่อจะวิ่งเข้าเส้นชัยแม้เพียงระยะสั้น ๆ หรือไม่

นักเดินเร็ว มาเดินแซงผมที่กิโลเมตรที่ 19 ผมพยายามเลียนแบบท่าเดินของนักเดิน แต่ไม่เป็นผลเข่าซ้ายที่งอไม่ได้ ทำให้ผมไม่สามารถแม้กระทั่งเดินเร็วได้ แต่ด้วยความดันทุรังผมก็พบว่าผมยังสามารถเร่งความเร็วได้อีกเล็กน้อย ด้วยท่าเดินของคนขาเป็นโปลิโอ แบบที่ต้องดามเหล็กที่ขานั่นเอง ผมเดินสุดฤทธิ์ด้วยท่านี้ กัดฟันเต็มที่ทุกครั้งที่พลาดพลั้ง มีการงอของเข่า น้ำตาแทบจะไหล ร่างกายแทบจะทรุดลงไปนั่ง ผมเพียงบอกตัวเองว่าล้มไม่ได้ นั่งไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะลุกได้อีกหรือไม่

เมื่อผมมองเห็นเส้นชัยในระยะสายตา ผมพยายามทดลองวิ่งอีกครั้ง แต่เพียงหนึ่งก้าว ผมก็มั่นใจได้ทันทีว่า งานนี้ต้องเดินเข้าเส้นชัยอย่างเดียวเท่านั้น ผมทำเวลาได้ประมาณ 2:19:51 ช้ากว่าที่ตั้งใจไว้กว่าครึ่งชั่วโมง ผมค่อย ๆ กระเพลกไปใช้บริการนวด แม้ว่างานวิ่งครั้งนี้จะทำให้ผมบาดเจ็บเพิ่มเติม แต่บริการนวดในรายการนี้ถือว่าฝีมือเข้าขั้นจริง ๆ ในขณะนวดอยุ่นั้นผมรู้สึกเหมือนจะกลับมาวิ่งได้อีกครั้งเลยจริง ๆ แม้ว่าในความเป็นจริง แค่จะลุกเดินกลับไปที่จอดรถผมก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว

ระหว่างเดินกลับไปที่รถ ผมเริ่มทบทวนอาการ และเหตุการณ์ทั้งหมด งานนี้อาจจะเกิดจากการซ้อมน้อย การบาดเจ็บฝ่าเท่้าเข้าร่วม หรืออาจจะเกิดจากรองเท้ามินิมัลลิสที่ผมเริ่มหัดใช้มันได้ไม่นานนัก อาการของผมใกล้เคียงกับอาการที่เรียกว่า Iliotibial “band” friction syndrome  (ITBS) ซึ่งเคยเกิดกับผมมาครั้งหนึ่งแล้วในวัยหนุ่ม ซึ่งแก้ไขด้วยการเปลี่ยนรองเท้าวิ่งก็หายไป แต่คราวนี้ด้วยพื้นรองเท้าที่ไม่มีระยะให้สึกหรอ ผมไม่แน่ใจว่าผมจะต้องแก้ปัญหามันอย่างไร

วันนี้ผมพักผ่อนมาเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ แล้วลองกลับมาวิ่งเบา ๆ ใหม่ก็พบว่า อาการเดิมกลับมาอีกที่ระยะประมาณ 4 กิโลเมตร อืม น่าสนใจเสียแล้ว ต้องมาติดตามกันดูว่าผมจะจัดการกับมันอย่างไร ในเมื่ออีกเพียงสามสัปดาห์จะมีรายการวิ่งสมุยมาราธอนอีกรายการที่ผมอยากเข้าร่วม

Run for a reason : The Race


12 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา ตีสาม ผมค่อย ๆ คืบคลานไปปิดนาฬิกาปลุก ก่อนที่จะพาร่างไร้วิญญาณไปแปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว วันนี้ผมมีรายการวิ่ง กรุงเทพมาราธอน 2554 ที่ต้องเลื่อนมาจากปลายปีที่แล้วเนื่องจากเหตุการณ์มหาอุทกภัย นี่จะเป็นรายการวิ่งแข่งขันครั้งแรกของผมในรอบเกือบยี่สิบปี ครั้งสุดท้ายผมลงรายการนี้ในระยะฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กม. ด้วยเวลา 1:47 เป็นเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม อายุเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบปี เป้าหมายของผมในปีนี้คือ ต่ำกว่าสองชั่วโมงในระยะทางเดียวกัน แต่ก็แอบหวังลืก ๆ ที่จะเข้าใกล้สถิติอันนี้ของผม แม้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปนอกเหนือจากอายุ หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมจะมีโอกาสใช้ โอกาสที่จะทำ เป็นครั้งแรก ผมก็ยังคิดว่าทุกอย่างน่าจะไปได้ด้วยดีในวันนี้ ผมรีบแต่งตัวแล้วคว้ากล้วยหอมสี่ลูกที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แล้วรีบโจนออกไปเรียกแทกซี่ นาฬิกาบอกเวลาตีสามครึ่ง หลังจากบอกเป้าหมายกับคนขับแทกซี่แล้วก็ได้โอกาสปอกกล้วยเข้าปาก พลางคิด เราทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร

The Race :

กรุงเทพมาราธอน 2011 สำหรับปีนี้เป็นการจัดครั้งที่ 24 แล้ว จุดเริ่มต้นและสิ้นสุดอยู่บริเวณริมรั้วพระบรมมหาราชวังฝั่งกระทรวงกลาโหม ซึ่งให้ฉากของการวิ่งเข้าเส้นชัยยิ่งใหญ่ตระการตา สมกับเป็นรายการมาราธอนที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งของประเทศ ที่มีการจัดมาเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว กรุงเทพมาราธอน ครั้งที่ สอง สาม สี่ อยู่ในสภาพที่มีความเสี่ยงจะยกเลิกทุกปี แต่นี่ยี่สิบสี่ปีผ่านไป ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดี ไม่เหมือนกับ Jazz Festival ที่ต้องเปลี่ยนชื่อ ล้มหายตายจากไปด้วยระยะเวลาไม่เกินสองปี ผมมาถึงบริเวณปล่อยตัวประมาณตีสี่ เพื่อมาพบกับกระบวนการจัดการที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับยี่สิบปีที่แล้ว ผมตรงเข้าไปฝากกระเป๋า ก่อนที่จะออกวิ่งเหยาะ ๆ ประมาณยี่สิบนาที เพื่อเป็นการวอร์มร่างกาย เรียบร้อยแล้วก็เดินหาห้องน้ำเพื่อทำธุระที่จำเป็น ก่อนที่จะได้ตระหนักว่า ป้ายบอกทาง ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย แม้ว่าผมจะดูแผนที่คร่าว ๆ มาแล้วว่าตำแหน่งของห้องน้ำอยู่ที่ใด แต่เมื่ออยู่หน้างานมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด สุขาอยู่หนใด ผมพยายามมองหาป้ายแต่ไม่พบจึงได้ตัดสินใจเดินตามคนส่วนใหญ่เข้าไปในสวนสราญรม ผมคาดไว้ไม่ผิดคนส่วนใหญ่เหล่านั้นเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่นี่ไม่ใช่ห้องน้ำที่ทางผู้จัดเตรียมไว้ แต่หากเป็นห้องน้ำเล็ก ๆ ภายในสวน พร้อมกับแถวยาว ๆ ผมเข้าคิวเพื่อรับฟังฝรั่งด้านหน้าก่นด่าผู้จัดอย่างเมามันส์ อยากจะบอกเขาว่านี่ไม่ใช่ห้องน้ำที่เขาจัดไว้นะ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าที่เขาจัดไว้ให้มันอยู่ที่ไหน ก็เลยต้องเงียบไว้ก่อน

หลังจากห้องน้ำผมก็มุ่งหน้าไปที่จุดปล่อยตัว เหลือเวลาอีก 15 นาที ผมยืดเส้นยืดสายรอเวลา ไม่นานนักเพื่อนที่เป็นคนชักชวนให้ผมกลับมาวิ่งอีกครั้ง ก็แวะเข้ามาทักทาย ผมนึกในใจคนตั้งพันสองร้อยคน มันเห็นผมได้ไงง่ะ ผมลดความตื่นเต้นของตัวเองด้วยการถามเพื่อนของผมถึงเส้นทาง และระยะทางที่จะผ่านสะพานทั้งสองสะพานในการแข่งขัน การวิ่งขึ้นสะพานตอนเหนื่อย ๆ มันไม่ค่อยน่าสนุกนักในความคิดของผม เพื่อนผมหันมาตอบว่าสะพานแรกก็สะพานปิ่นเกล้าที่อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง ผมถามถึงสะพานพระรามแปด แต่เพื่อนของผมได้แต่ยิ้ม

สัญญาณปล่อยตัวดังขึ้นผมวิ่งออกไปช้า ๆ ตามคนจำนวนมากที่ค่อย ๆ ขยายตัวออกไปจนเต็มถนน สะพานแรกอยู่ใกล้จริง ๆ ผมพยายามควบคุมความเร็วไม่ให้สูงเกินไปนัก ผมไม่ได้ซ้อมมากเท่าไร ระยะสูงที่สุดที่ผมซ้อมมาสำหรับการแข่งขันนี้คือ 14 กม. ในวันนี้ผมต้องวิ่งต่อไปอีก 7.1 กม. ผมยังไม่อยากเจอกับอาการชนกำแพงเป็นครั้งแรกของชีวิตในวันนี้ การวิ่งในวันนี้มันช่างต่างไปจากยี่สิบปีก่อนเสียจริง ๆ ผมไม่ได้เห็นตัวเมืองอย่างที่เป็นเมืองเอาเสียเลย หลังจากที่ขึ้นสะพานแรกมาแล้ว ผมยังไม่มีความรู้สึกว่าได้ลงสะพานอีกเลย ผมนึกในใจว่านี่กรุงเทพฯ เรามีรถเยอะขนาดต้องทำถนนวิ่งกันสองชั้นกันเลยหรือ ไม่ทันไร ก็ถึงจุดกลับตัว ที่ผมท่องมาว่าอยู่หน้าเซ็นทรัล เพื่อช่วยในการควบคุมเวลา อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เราวิ่งอยู่บนชั้นที่สองโดยตลอด ผมเริ่มกังวลถึงความเร็ว ผมเร็วเกินไปหรือเปล่านะ เมื่อดูป้ายบอกระยะเทียบกับเวลากลับพบว่านี่ผมวิ่งช้าอยู่เหรอเนี่ย ผมเร่งความเร็วขึ้นอีกนิด ไม่ทันจะได้ตั้งตัวป้ายบอกระยะทาง 10 กม. ก็อยู่ตรงหน้าผม ดูเวลาด้วยความตกใจ 50 นาที ผมวิ่งเร็วเกินไป ในใจคิด ไม่ค่อยเหนื่อยเลยนี่หว่า ถ้าอย่างนี้ 1:47 น่าจะมีความหวังนะเนี่ย

ความหวังผมค่อย ๆ สลายลงเมื่อผมวิ่งผ่านกิโลเมตรที่ 14 เข้าสู่เขตของความไม่รู้ ผมไม่เคยวิ่งเกินระยะนี้มาเป็นระยะเวลายี่สิบปี ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง ผมเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อป้ายบอกระยะทางที่ 16 กม. ยังไม่มาถึงเสียที นี่มันนานเกิดไปแล้วนะผมคิด ทันใดนั้นผมก็เห็นจุดให้น้ำอยู่ตรงหน้า ผมตัดสินใจไม่แวะเข้าเพราะรู้สึกว่าผมทำเวลาไม่ค่อยดีในช่วงที่ผ่านมา ในใจพาลฉุกคิดนิด ๆ ทำไมไม่มีป้ายบอกระยะทางนะที่จุดเมื่อกี้ ผมค่อย ๆ เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย จุดให้น้ำจุดต่อไปอยู่ด้านหน้า 18 กม. แล้วเหลือเพียงสามกิโลสุดท้าย เวลาแบบนี้น่าจะทำลายสถิติส่วนตัวเป็นแน่ ทันใดนั้นฝันผมก็สลายลงไปในทันทีเมื่อป้ายที่เห็นกลับเขียนว่า 16 กม. เห้ย อะไรฟะ ผมรีบคำนวณเวลาในใจอย่างรวดเร็ว โอ้ย 1:47 ไปซะแล้ว เวลาขณะนี้ 1:26 ต่ำกว่าสองชั่วโมงน่าจะยังเอาอยู่ ในใจคิดแต่ขาผมหนักขึ้นเรื่อย ๆ เร่งไม่ออกเลย กิโลเมตรที่ 18 เหมือนกับว่าจะไม่มีวันมาถึง ป้ายกิโลเมตรที่ 20 วางอยู่คู่กับ ป้ายกิโลเมตรที่ 40 ของมาราธอน เห้ย มันเหลืออีก 1 หรือ 2 กิโลกันแน่วะเนีี่ย

เสียงของเส้นชัยได้ยินมาไกล แต่แล้วเส้นทางวิ่งก็พาผมห่างออกไปอีกครั้ง ขาของผมหนักขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเพราะใจหรือร่างกาย มองดูเวลา ผมคำนวณไม่ถูกแล้วว่าผมจะทำได้หรือไม่กับเป้าหมาย ในที่สุดกำแพงอันสวยงามก็อยู่ตรงหน้า ผมพยายามเร่งความเร็ว แต่ก็พบว่าหลาย ๆ คนเริ่มแซงผมราวกับผมยืนอยู่กับที่ เวลาสองชั่วโมงได้ผ่านไปแล้ว เป้าหมายผมพังทลายไปแล้ว ผมวิ่งเข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 2:02

ผมค่อย ๆ เดินไปหาน้ำ ผลไม้ ในใจก่นด่าอยู่ตลอดเวลา จุดให้น้ำที่เส้นชัยมีน้อยนิด จนต้องต่อแถวรับน้ำกัน สปอนเซอร์น้ำเกลือแร่แกเตอเรต มีเพียงหนึ่งบูธที่แถวยาวเหมือนซื้อ Krispy Creme เต้นท์ผลไม้ซ่อนอยู่ในหลืบ แยกกันกับเต้นสปอนเซอร์แมคโดนัลที่ต้องเดินต่อไปอีกเกือบร้อยเมตร เป็นการทรมานคนที่เพิ่งวิ่งมา 21 กม. เป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องคิดถึงกลุ่มที่วิ่งมาแล้ว 42.195 กม. ผมมุ่งหน้าไปรับกระเป๋า น้ำเพียงหนึ่งแก้วที่รับมาได้จากการต่อแถวยาว ๆ หมดไปนานแล้ว ผมเดินตรงไปจนสุดทาง หาสนามหญ้าที่มุมเลี้ยวที่นักวิ่งที่เหลือทุกคนจะต้องวิ่งผ่าน ผมนั่งลงอย่างหมดแรง ตามองที่ผลไม้แจก พร้อมกับเบอร์เกอร์ ในใจได้แต่คิดว่าแล้วเราจะกระเดือกมันลงไปได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีน้ำให้กิน ผมคว้าแอปเปิ้ลในถุง กัดทันทีเพื่อประทังความกระหาย effect ของบริการนวดแถมขายประกัน รวมไปถึงสปอนเซอร์น้ำมันมวย ค่อย ๆ หายไป ความปวดเมื่อยกลับคืนมา ผมได้แต่นั่งรอเวลาให้เพื่อน ๆ ที่ชวน ๆ กันมาวิ่งระยะทางต่าง ๆ กันมารวมตัวกันเพื่อชักภาพประวัติศาสตร์วันนี้ไว้ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน