Run for a reason : The Race


12 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา ตีสาม ผมค่อย ๆ คืบคลานไปปิดนาฬิกาปลุก ก่อนที่จะพาร่างไร้วิญญาณไปแปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว วันนี้ผมมีรายการวิ่ง กรุงเทพมาราธอน 2554 ที่ต้องเลื่อนมาจากปลายปีที่แล้วเนื่องจากเหตุการณ์มหาอุทกภัย นี่จะเป็นรายการวิ่งแข่งขันครั้งแรกของผมในรอบเกือบยี่สิบปี ครั้งสุดท้ายผมลงรายการนี้ในระยะฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กม. ด้วยเวลา 1:47 เป็นเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม อายุเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบปี เป้าหมายของผมในปีนี้คือ ต่ำกว่าสองชั่วโมงในระยะทางเดียวกัน แต่ก็แอบหวังลืก ๆ ที่จะเข้าใกล้สถิติอันนี้ของผม แม้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปนอกเหนือจากอายุ หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมจะมีโอกาสใช้ โอกาสที่จะทำ เป็นครั้งแรก ผมก็ยังคิดว่าทุกอย่างน่าจะไปได้ด้วยดีในวันนี้ ผมรีบแต่งตัวแล้วคว้ากล้วยหอมสี่ลูกที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แล้วรีบโจนออกไปเรียกแทกซี่ นาฬิกาบอกเวลาตีสามครึ่ง หลังจากบอกเป้าหมายกับคนขับแทกซี่แล้วก็ได้โอกาสปอกกล้วยเข้าปาก พลางคิด เราทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร

The Race :

กรุงเทพมาราธอน 2011 สำหรับปีนี้เป็นการจัดครั้งที่ 24 แล้ว จุดเริ่มต้นและสิ้นสุดอยู่บริเวณริมรั้วพระบรมมหาราชวังฝั่งกระทรวงกลาโหม ซึ่งให้ฉากของการวิ่งเข้าเส้นชัยยิ่งใหญ่ตระการตา สมกับเป็นรายการมาราธอนที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งของประเทศ ที่มีการจัดมาเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว กรุงเทพมาราธอน ครั้งที่ สอง สาม สี่ อยู่ในสภาพที่มีความเสี่ยงจะยกเลิกทุกปี แต่นี่ยี่สิบสี่ปีผ่านไป ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดี ไม่เหมือนกับ Jazz Festival ที่ต้องเปลี่ยนชื่อ ล้มหายตายจากไปด้วยระยะเวลาไม่เกินสองปี ผมมาถึงบริเวณปล่อยตัวประมาณตีสี่ เพื่อมาพบกับกระบวนการจัดการที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับยี่สิบปีที่แล้ว ผมตรงเข้าไปฝากกระเป๋า ก่อนที่จะออกวิ่งเหยาะ ๆ ประมาณยี่สิบนาที เพื่อเป็นการวอร์มร่างกาย เรียบร้อยแล้วก็เดินหาห้องน้ำเพื่อทำธุระที่จำเป็น ก่อนที่จะได้ตระหนักว่า ป้ายบอกทาง ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย แม้ว่าผมจะดูแผนที่คร่าว ๆ มาแล้วว่าตำแหน่งของห้องน้ำอยู่ที่ใด แต่เมื่ออยู่หน้างานมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด สุขาอยู่หนใด ผมพยายามมองหาป้ายแต่ไม่พบจึงได้ตัดสินใจเดินตามคนส่วนใหญ่เข้าไปในสวนสราญรม ผมคาดไว้ไม่ผิดคนส่วนใหญ่เหล่านั้นเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่นี่ไม่ใช่ห้องน้ำที่ทางผู้จัดเตรียมไว้ แต่หากเป็นห้องน้ำเล็ก ๆ ภายในสวน พร้อมกับแถวยาว ๆ ผมเข้าคิวเพื่อรับฟังฝรั่งด้านหน้าก่นด่าผู้จัดอย่างเมามันส์ อยากจะบอกเขาว่านี่ไม่ใช่ห้องน้ำที่เขาจัดไว้นะ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าที่เขาจัดไว้ให้มันอยู่ที่ไหน ก็เลยต้องเงียบไว้ก่อน

หลังจากห้องน้ำผมก็มุ่งหน้าไปที่จุดปล่อยตัว เหลือเวลาอีก 15 นาที ผมยืดเส้นยืดสายรอเวลา ไม่นานนักเพื่อนที่เป็นคนชักชวนให้ผมกลับมาวิ่งอีกครั้ง ก็แวะเข้ามาทักทาย ผมนึกในใจคนตั้งพันสองร้อยคน มันเห็นผมได้ไงง่ะ ผมลดความตื่นเต้นของตัวเองด้วยการถามเพื่อนของผมถึงเส้นทาง และระยะทางที่จะผ่านสะพานทั้งสองสะพานในการแข่งขัน การวิ่งขึ้นสะพานตอนเหนื่อย ๆ มันไม่ค่อยน่าสนุกนักในความคิดของผม เพื่อนผมหันมาตอบว่าสะพานแรกก็สะพานปิ่นเกล้าที่อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง ผมถามถึงสะพานพระรามแปด แต่เพื่อนของผมได้แต่ยิ้ม

สัญญาณปล่อยตัวดังขึ้นผมวิ่งออกไปช้า ๆ ตามคนจำนวนมากที่ค่อย ๆ ขยายตัวออกไปจนเต็มถนน สะพานแรกอยู่ใกล้จริง ๆ ผมพยายามควบคุมความเร็วไม่ให้สูงเกินไปนัก ผมไม่ได้ซ้อมมากเท่าไร ระยะสูงที่สุดที่ผมซ้อมมาสำหรับการแข่งขันนี้คือ 14 กม. ในวันนี้ผมต้องวิ่งต่อไปอีก 7.1 กม. ผมยังไม่อยากเจอกับอาการชนกำแพงเป็นครั้งแรกของชีวิตในวันนี้ การวิ่งในวันนี้มันช่างต่างไปจากยี่สิบปีก่อนเสียจริง ๆ ผมไม่ได้เห็นตัวเมืองอย่างที่เป็นเมืองเอาเสียเลย หลังจากที่ขึ้นสะพานแรกมาแล้ว ผมยังไม่มีความรู้สึกว่าได้ลงสะพานอีกเลย ผมนึกในใจว่านี่กรุงเทพฯ เรามีรถเยอะขนาดต้องทำถนนวิ่งกันสองชั้นกันเลยหรือ ไม่ทันไร ก็ถึงจุดกลับตัว ที่ผมท่องมาว่าอยู่หน้าเซ็นทรัล เพื่อช่วยในการควบคุมเวลา อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เราวิ่งอยู่บนชั้นที่สองโดยตลอด ผมเริ่มกังวลถึงความเร็ว ผมเร็วเกินไปหรือเปล่านะ เมื่อดูป้ายบอกระยะเทียบกับเวลากลับพบว่านี่ผมวิ่งช้าอยู่เหรอเนี่ย ผมเร่งความเร็วขึ้นอีกนิด ไม่ทันจะได้ตั้งตัวป้ายบอกระยะทาง 10 กม. ก็อยู่ตรงหน้าผม ดูเวลาด้วยความตกใจ 50 นาที ผมวิ่งเร็วเกินไป ในใจคิด ไม่ค่อยเหนื่อยเลยนี่หว่า ถ้าอย่างนี้ 1:47 น่าจะมีความหวังนะเนี่ย

ความหวังผมค่อย ๆ สลายลงเมื่อผมวิ่งผ่านกิโลเมตรที่ 14 เข้าสู่เขตของความไม่รู้ ผมไม่เคยวิ่งเกินระยะนี้มาเป็นระยะเวลายี่สิบปี ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง ผมเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อป้ายบอกระยะทางที่ 16 กม. ยังไม่มาถึงเสียที นี่มันนานเกิดไปแล้วนะผมคิด ทันใดนั้นผมก็เห็นจุดให้น้ำอยู่ตรงหน้า ผมตัดสินใจไม่แวะเข้าเพราะรู้สึกว่าผมทำเวลาไม่ค่อยดีในช่วงที่ผ่านมา ในใจพาลฉุกคิดนิด ๆ ทำไมไม่มีป้ายบอกระยะทางนะที่จุดเมื่อกี้ ผมค่อย ๆ เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย จุดให้น้ำจุดต่อไปอยู่ด้านหน้า 18 กม. แล้วเหลือเพียงสามกิโลสุดท้าย เวลาแบบนี้น่าจะทำลายสถิติส่วนตัวเป็นแน่ ทันใดนั้นฝันผมก็สลายลงไปในทันทีเมื่อป้ายที่เห็นกลับเขียนว่า 16 กม. เห้ย อะไรฟะ ผมรีบคำนวณเวลาในใจอย่างรวดเร็ว โอ้ย 1:47 ไปซะแล้ว เวลาขณะนี้ 1:26 ต่ำกว่าสองชั่วโมงน่าจะยังเอาอยู่ ในใจคิดแต่ขาผมหนักขึ้นเรื่อย ๆ เร่งไม่ออกเลย กิโลเมตรที่ 18 เหมือนกับว่าจะไม่มีวันมาถึง ป้ายกิโลเมตรที่ 20 วางอยู่คู่กับ ป้ายกิโลเมตรที่ 40 ของมาราธอน เห้ย มันเหลืออีก 1 หรือ 2 กิโลกันแน่วะเนีี่ย

เสียงของเส้นชัยได้ยินมาไกล แต่แล้วเส้นทางวิ่งก็พาผมห่างออกไปอีกครั้ง ขาของผมหนักขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเพราะใจหรือร่างกาย มองดูเวลา ผมคำนวณไม่ถูกแล้วว่าผมจะทำได้หรือไม่กับเป้าหมาย ในที่สุดกำแพงอันสวยงามก็อยู่ตรงหน้า ผมพยายามเร่งความเร็ว แต่ก็พบว่าหลาย ๆ คนเริ่มแซงผมราวกับผมยืนอยู่กับที่ เวลาสองชั่วโมงได้ผ่านไปแล้ว เป้าหมายผมพังทลายไปแล้ว ผมวิ่งเข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 2:02

ผมค่อย ๆ เดินไปหาน้ำ ผลไม้ ในใจก่นด่าอยู่ตลอดเวลา จุดให้น้ำที่เส้นชัยมีน้อยนิด จนต้องต่อแถวรับน้ำกัน สปอนเซอร์น้ำเกลือแร่แกเตอเรต มีเพียงหนึ่งบูธที่แถวยาวเหมือนซื้อ Krispy Creme เต้นท์ผลไม้ซ่อนอยู่ในหลืบ แยกกันกับเต้นสปอนเซอร์แมคโดนัลที่ต้องเดินต่อไปอีกเกือบร้อยเมตร เป็นการทรมานคนที่เพิ่งวิ่งมา 21 กม. เป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องคิดถึงกลุ่มที่วิ่งมาแล้ว 42.195 กม. ผมมุ่งหน้าไปรับกระเป๋า น้ำเพียงหนึ่งแก้วที่รับมาได้จากการต่อแถวยาว ๆ หมดไปนานแล้ว ผมเดินตรงไปจนสุดทาง หาสนามหญ้าที่มุมเลี้ยวที่นักวิ่งที่เหลือทุกคนจะต้องวิ่งผ่าน ผมนั่งลงอย่างหมดแรง ตามองที่ผลไม้แจก พร้อมกับเบอร์เกอร์ ในใจได้แต่คิดว่าแล้วเราจะกระเดือกมันลงไปได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีน้ำให้กิน ผมคว้าแอปเปิ้ลในถุง กัดทันทีเพื่อประทังความกระหาย effect ของบริการนวดแถมขายประกัน รวมไปถึงสปอนเซอร์น้ำมันมวย ค่อย ๆ หายไป ความปวดเมื่อยกลับคืนมา ผมได้แต่นั่งรอเวลาให้เพื่อน ๆ ที่ชวน ๆ กันมาวิ่งระยะทางต่าง ๆ กันมารวมตัวกันเพื่อชักภาพประวัติศาสตร์วันนี้ไว้ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน