สงขลามาราธอน : Welcome to ITBS

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมานี้ผมเข้าร่วมการแข่งขัน สสส. สงขลามาราธอน นานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ  แม้ว่าจะอ่อนซ้อมเสียเหลือเกิน เนื่องจากภาระการเดินทางที่ถี่จนไม่เป็นอันซ้อมทำให้ในช่วงเวลาก่อนหน้าผมมีเวลาฝึกซ้อมสำหรับรายการนี้เพียงหนึ่งสองครั้ง นั่นคือ วิ่งระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร และอีกครั้งคือ ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร ทั้งสองครั้งห่างกันถึงหนึ่งสัปดาห์ และห่างจากวันแข่งขันหนึ่งสัปดาห์ นอกจากนี้ยังไม่ได้มีการออกกำลังกายประเภทอื่นเลย แม้ว่าระยะทางประมาณนี้จะอยู่ในระดับคงที่แล้วสำหรับ base ที่ผมสร้างมาเป็นเวลาหนึ่งปี แต่ในใจผมคิดเสมอว่าถึงแม้หัวใจจะเอาอยู่ แต่ช่วงล่างอาจจะรับไม่ได้เพราะเป็นงานหนักแบบเป็นช่วง ๆ เพื่อนนักวิ่งของผมก็เห็นด้วยว่าถ้าเป็นแบบนี้นาน ๆ ไปไม่ดีแน่

ผมใช้เวลาตัดสินใจไม่นานนักที่จุดรับสมัคร ที่จะลงระยะฮาร์ฟมาราธอน เนื่องด้วยภาวะอ่อนซ้อม ระยะมาราธอนไม่ถึงแน่ แต่วิ่งมินิมาราธอน มันสั้นเกินไปสำหรับผมแล้ว ไม่ค่อยคุ้มค่าตื่นเช้าเท่าไร ในคืนก่อนหน้าที่จะวิ่งผมต้องไปร่วมงานมงคลสมรส ซึ่งไม่ส่งผลดีกับผมนัก เพราะผมไม่ค่อยถนัดการรับประทานอาหารในงานใด ๆ ผมทานได้ไม่มากนัก อีกทั้งลูก ๆ ทั้งสองที่เล่นมาทั้งวันเริ่มออกอาการงอแง เราจึงต้องหนีออกจากงานล่วงหน้า ก่อนที่อาหารจานหลักจะออกเสริฟ อย่างไรก็ตามยังโชคดีที่เพื่อนของผมที่ดูแลที่พักในคืนนี้ จัดอาหารเย็นเตรียมไว้ให้ ผมจึงทานเพิ่มอีกนิดหน่อยเวลาประมาณสามทุ่ม และพยายามรีบเข้านอน เพราะตีสามผมก็ต้องเริ่มตื่นมาเตรียมของแล้ว

ผมนอนหลับอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะเป็นเวลาสั้น ๆ ไม่เพียงกี่ชั่วโมง ผมก็รู้สึกว่าได้นอนเต็มอิ่ม ผมจัดอาหารเช้าเตรียมไว้เล็กน้อย แล้วก็ออกรถเพื่อเดินทางจากที่พักบนเกาะยอ เข้าร่วมงานบริเวณชายหาด สงขลา แม้ว่ามีการหลงทางเล็กน้อย ผมก็ยังเหลือเวลาที่จะได้วิ่งวอร์มสั้น ๆ เข้าห้องน้ำ และยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะมายืนรอการปล่อยตัว งานนี้ไม่มีเสียเวลาเลยแม้แต่น้อย การจัดงานค่อนข้างดีครับ แต่คนไม่มากนักจึงไม่คิดว่าน่าจะมีปัญหาอะไร เมื่อเสียงปล่อยตัวดังขึ้นผมค่อย ๆ เดินออกไป และเริ่มวิ่งช้า ๆ เนื่องจากรู้ดีว่าซ้อมมาไม่ดีและวอร์มอัปไม่มากนัก

แต่แล้ว เมื่อระยะทางผ่านไปไม่เกินสองกิโล ผมก็เห็นเป้าหมายของผม ลุงรุ่นอายุ 60 ท่าทางแข็งแรง ผมคิดในใจว่าลุงน่าจะทำเวลาต่ำกว่าสองชั่วโมงแน่ ๆ ถ้าแกวิ่งไม่เร็วนัก เราเกาะ ๆ ไปก็น่าจะได้เวลาค่อนข้างดี ผมจึงตัดสินใจค่อย ๆ เกาะคุณลุงไป และเป็นไปตามคาดคุณลุงทำเวลาค่อนข้างดีสม่ำเสมออยู่ในช่วงที่ผมยังสามารถวิ่งตามได้ค่อนข้างสบาย ๆ แต่หารู้ไม่เวลาเฉลี่ยของคุณลุงอยู่ในระดับ 5 นาทีต้น ๆ เลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดของผม แต่สำหรับระยะฮาร์ฟมาราธอนที่ความเร็วประมาณนี้ ที่ระยะทางห้ากิโลเมตรแรกแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ สำหรับผมเลยทีเดียว

เนื่องจากผมใช้ระบบ Percieve Exertion ในการฝึกซ้อม ในการแข่งขันผมความรู้สึกนี้ผมจึงใช้ในการซ้อมและแข่งขัน อย่างไรก็ตามผมยังใช้มันได้ไม่ค่อยดีนักในการแข่งขันและมักจะทำให้ผมวิ่งเร็วเกินไปในช่วงแรกของการแข่งขัน ผมพยายามถามตัวเองเรื่อย ๆ ขณะที่วิ่งตามลุงคนนั้นไปเรื่อย ๆ ผมคุยกับลุงเขาบ้างเล็กน้อย ในเชิงบ่น ๆ ว่าลุงเขาวิ่งได้เร็วจริง ๆ ลุงเขาก็เพียงเปรย ๆ ว่าช่วงแรกน่ะอย่าวิ่งให้เร็วมาก อย่าให้หมด ค่อยมาวิ่งกันจริง ๆ ในครึ่งหลัง ขณะนั้นความรู้สึกของผมก็ยังค่อนข้างดีอยู่ ยังสามารถไล่ตามคุณลุงไปเรื่อย ๆ ได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น

ก่อนผ่านระยะกลับตัวคุณลุงเริ่มเจอเพื่อน ๆ ที่กลับตัวกันไปบ้างแล้วตะโกนแซว ว่าวิ่งช้าเกินไปแล้วนะ ผมยังไม่ได้เอะใจอะไร เมื่อถึงเวลากลับตัวเวลาของเราอยู่ที่่ 52:31 นาที ซึ่งเป็นความเร็วที่ไม่ได้ช้า แต่ก็ไม่ได้เร็วจนน่าตกใจ แต่ที่น่าตกใจกลับเป็นการกลับตัวของคุณลุง ผมเพิ่งเข้าใจสิ่งที่คุณลุงพูดถึง ความเร็วของคุณลุงดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การวิ่งไล่คุณลุงนั้นไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมาเสียแล้ว อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณ Base ที่ผ่านมาของผม แม้ว่าจะเหนื่อยอยู่สักหน่อย ผมก็ยังสามารถเกาะหลังคุณลุงไปได้เรื่อย ๆ

คุณลุงเริ่มคุยกับผม ด้วยคำถามแรกว่าอยู่รุ่นไหน เอาซะแล้ว มันเป็นคำถามของคนที่ต้องการอันดับในการแข่งขัน ผมไม่ชอบการแข่งขันเอาเสียเลย พอผมบอกว่าผมอยู่รุ่น 40 คุณลุงก็ดูใจดีขึ้นมาในทันที บ่น ๆ ว่านึกว่าจะอยู่รุ่นเดียวกัน โหลุงก็ ไม่ทำร้ายจิตใจผมไปหน่อยเรอะ จากนั้นลุงแกก็เริ่มสาธยาย แกบอกผมว่าเกาะให้ดี ๆ นะ ถ้าตามลุงทันเนี่ย ในรุ่น 40 ก็คงได้อันดับไม่เกินที่ 30 ได้ยินเท่านั้น ผมเริ่มเหนื่อยขึ้นมาอย่างทันทีทันใด เหนื่อยขึ้นมาอย่างทันทีทันใด แต่ก่อนที่จะถูกความเหนื่อยเอาชนะใจผมไปนั้น ที่ระยะกิโลเมตรที่ 14 ผมเริ่มมีความรู้สึกแปลบขึ้นมาที่บริเวณเข่าเล็กน้อย ซวยละผมเริ่มคิดในใจ

ก่อนหน้านี้ ผมมีอาการบาดเจ็บบริเวณฝ่าเท้าขวา ทำให้ผมซ้อมได้ไม่เต็มที่ ร่วมกับการเดินทางที่ค่อนข้างถี่ การซ้อมระยะประมาณมินิมาราธอนเพียงสัปดาห์ละครั้งนั้นมีผลต่ออาการบาดเจ็บของผมเล็กน้อย อาการบาดเจ็บบริเวณฝ่าเท้าขวาค่อนข้างจะรบกวนการวิ่งของผมในช่วงการซ้อม และทำให้ผมต้องเลี่ยงไปใช้งานขาซ้ายค่อนข้างมากกว่าปกติเล็กน้อย ในการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่มีอาการบาดเจ็บของฝ่าเท่้ามารบกวนอีกแล้ว แต่ในใจผมยังค่อนข้างกลัวอาการจะย้อนกลับมาอีกครั้งในระหว่างแข่งขัน ผมจึงค่อนข้างจะเกร็งเท้าขวา และลงน้ำหนักด้านขาซ้ายมากเป็นพิเศษ

แต่แล้วมันก็กลับมาย้อนสุ่ตัวผมจนได้ ความรู้สึกแปลบ ๆ เริ่มกลายเป็นความรู้สึกคงที่ เริ่มส่งผลต่อการลงน้ำหนักตัวลงบนขาซ้าย ผมต้องก้าวสั้นลงเรื่อย ๆ ตอนนี้คุณลุงได้หนีหายไปจากผมแล้ว จากความเร็วประมาณ 5:20 นาทีต่อกิโล ความเร็วผมตกลงเหลือ  7 นาทีกว่า ๆ และในที่สุดผมก็ไม่สามารถงอเข่าซ้ายได้อีกต่อไป เพราะอาการเจ็บมันเหลือจะเกินทน ผมต้องเปลี่ยนเป็นเดินในทันที ที่กิโลเมตรที่ 18 ตอนนี้เวลาเท่าไรผมเริ่มไม่ค่อยสนใจแล้ว ผมสนใจเพียงแต่ว่าผมจะฟื้นทันเพื่อจะวิ่งเข้าเส้นชัยแม้เพียงระยะสั้น ๆ หรือไม่

นักเดินเร็ว มาเดินแซงผมที่กิโลเมตรที่ 19 ผมพยายามเลียนแบบท่าเดินของนักเดิน แต่ไม่เป็นผลเข่าซ้ายที่งอไม่ได้ ทำให้ผมไม่สามารถแม้กระทั่งเดินเร็วได้ แต่ด้วยความดันทุรังผมก็พบว่าผมยังสามารถเร่งความเร็วได้อีกเล็กน้อย ด้วยท่าเดินของคนขาเป็นโปลิโอ แบบที่ต้องดามเหล็กที่ขานั่นเอง ผมเดินสุดฤทธิ์ด้วยท่านี้ กัดฟันเต็มที่ทุกครั้งที่พลาดพลั้ง มีการงอของเข่า น้ำตาแทบจะไหล ร่างกายแทบจะทรุดลงไปนั่ง ผมเพียงบอกตัวเองว่าล้มไม่ได้ นั่งไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะลุกได้อีกหรือไม่

เมื่อผมมองเห็นเส้นชัยในระยะสายตา ผมพยายามทดลองวิ่งอีกครั้ง แต่เพียงหนึ่งก้าว ผมก็มั่นใจได้ทันทีว่า งานนี้ต้องเดินเข้าเส้นชัยอย่างเดียวเท่านั้น ผมทำเวลาได้ประมาณ 2:19:51 ช้ากว่าที่ตั้งใจไว้กว่าครึ่งชั่วโมง ผมค่อย ๆ กระเพลกไปใช้บริการนวด แม้ว่างานวิ่งครั้งนี้จะทำให้ผมบาดเจ็บเพิ่มเติม แต่บริการนวดในรายการนี้ถือว่าฝีมือเข้าขั้นจริง ๆ ในขณะนวดอยุ่นั้นผมรู้สึกเหมือนจะกลับมาวิ่งได้อีกครั้งเลยจริง ๆ แม้ว่าในความเป็นจริง แค่จะลุกเดินกลับไปที่จอดรถผมก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว

ระหว่างเดินกลับไปที่รถ ผมเริ่มทบทวนอาการ และเหตุการณ์ทั้งหมด งานนี้อาจจะเกิดจากการซ้อมน้อย การบาดเจ็บฝ่าเท่้าเข้าร่วม หรืออาจจะเกิดจากรองเท้ามินิมัลลิสที่ผมเริ่มหัดใช้มันได้ไม่นานนัก อาการของผมใกล้เคียงกับอาการที่เรียกว่า Iliotibial “band” friction syndrome  (ITBS) ซึ่งเคยเกิดกับผมมาครั้งหนึ่งแล้วในวัยหนุ่ม ซึ่งแก้ไขด้วยการเปลี่ยนรองเท้าวิ่งก็หายไป แต่คราวนี้ด้วยพื้นรองเท้าที่ไม่มีระยะให้สึกหรอ ผมไม่แน่ใจว่าผมจะต้องแก้ปัญหามันอย่างไร

วันนี้ผมพักผ่อนมาเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ แล้วลองกลับมาวิ่งเบา ๆ ใหม่ก็พบว่า อาการเดิมกลับมาอีกที่ระยะประมาณ 4 กิโลเมตร อืม น่าสนใจเสียแล้ว ต้องมาติดตามกันดูว่าผมจะจัดการกับมันอย่างไร ในเมื่ออีกเพียงสามสัปดาห์จะมีรายการวิ่งสมุยมาราธอนอีกรายการที่ผมอยากเข้าร่วม