ปีนเขา : ความท้าทายของทุกเพศทุกวัย

ผมได้รู้จักกีฬาปีนเขาอย่างจริง ๆ จัง ๆ เมื่ออาการของกระดูกสันหลังเสื่อมเริ่มปรากฏชัด เมื่ออาการบาดเจ็บรุนแรงจนการวิ่งเป็นการทรมานร่างกายจนสุดจะเกินทน ผมตัดสินใจเลิกเล่นไตรกีฬา และพยายาสรรหากีฬาประเภทอื่นเพื่อทดแทน หนึ่งในนั้นคือ กีฬาปีนเขา ซึ่งเป็นกีฬาที่ผมมีโอกาสได้ลองมาบ้่างแล้ว แต่ด้วยความที่ยังค่อนข้างเป็นกีฬาใหม่ในขณะนั้น จึงหาสถานที่เพื่อที่จะเล่นได้ยากมาก ผมจึงเล่นไตรกีฬามาโดยตลอด เมื่อโอกาสมาเช่นนี้ผมจึงพยายามจัดหาเวลาที่จะไปร่ำเรียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ณ สวนสวรรค์ที่นักปีนเขาทั่วโลกฝันว่าจะได้มาเยือนเพียงครั้งหนึ่งในชีวิต ไร่เลย์ กระบี่ บ้านเรานี่เอง

กีฬาปีนเขา เกิดมากว่าหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังถือว่าเป็นกีฬาที่ค่อนข้างใหม่ คนเริ่มรู้จักกีฬาปีนเขามากขึ้นในฐานะกีฬาที่บรรจุอยู่ใน X-Games แต่ภาพของกีฬาปีนเขาผ่านทางสื่อต่าง ๆ เช่น มนุษย์แมงมุมที่เที่ยวปีนตึกไปทั่วโลก ทอม ครูซ ที่ปีนเขาอย่างท้าทายในภาพยนต์ Mission Impossible หรือข่าวการเสียชีวิตของนักปีนเขาบางครั้งบางคราวที่ถูกนำเสนอเสียจนสร้างให้เห็นว่ากีฬาปีนเขาเป็นกีฬาเสียงอันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้ว กีฬาปีนเขา นั้นปลอดภัยกว่าการปั่นจักรยานบนท้องถนนแม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญมากเสียอีก

กีฬาปีนเขาอาจจะแบ่งออกเป็นลักษณะย่อย ๆ ได้สามประเภท คือ

1. Free Climb บางครั้งเรียก Solo Climb หรือการปีนโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ซึ่งเคยได้รับความนิยมสำหรับนักปีนเขาชั้นนำในอดีต ซึ่งความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยส่งผลต่อชีวิต ปกติแล้วการทำ Solo Climb นักปีนจะเลือกปีนเส้นทางที่ง่ายกว่าระดับความสามารถของตัวเองเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ความบ้าบิ่นของนักกีฬาบางคน รวมไปถึงการสร้างแบบอย่างที่เสี่ยงตายแบบนี้ ในปัจจุบันไม่ได้รับการยอมรับมากนักในหมู่นักปีนเขา เนื่องจากถือว่าเป็นการสร้าง Bad Publicity ให้กับกีฬา การปีนแบบโซโลในปัจจุบันจึงค่อยๆ กลายมาเป็นการปีนที่เรียกว่า Deep Water Soloing ซึ่งออกไปปีนในทะเล เมื่อตกก็หล่นลงน้ำ หรือ Bouldering ซึ่งเป็นการปีนที่เน้นเทคนิคการปีนเป็นหลัก ไม่พูดถึงความสูง ปีนบนก้อนหินใหญ่ ๆ หรือเฉพาะบางช่วงของหน้าผา ในระยะที่ตกแบบไม่อันตรายมากนัก (แต่ก็จะมีเพื่อนคอยระวังภัยให้ในขณะปีน) ซึ่งลักษณะการปีนในสองรูปแบบหลังนี้เป็นที่นิยม และได้รับการยอมรับมากขึ้น (คลิปของนักปีนเขาโซโลชื่อดัง)

2. Traditional Climb ซึ่งเป็นการปีนโดยให้ระบบป้องกันภัย โดยนักปีนเขาจะต้องค่อย ๆ ปีนและติดตั้งระบบป้องกันภัยนี้ขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางที่ปีน การปีนแบบนี้ ต้องใช้ความรู้ความรู้ความเชี่ยวชาญสูง นอกเหนือจากความสามารถในการปีนเขาแล้ว ความรู้เกี่ยวกับตำแหน่งการติดตั้งจุดป้องกันอันตรายต่าง ๆ รวมไปถึงวิธีการติดตั้ง ชนิดของอุปกรณ์ที่เหมาะสม เป็นทักษะที่สำคัญมากเท่า ๆ กับทักษะการปีน หรืออาจจะมากว่าเสียด้วยซ้ำ (คลิปที่อธิบาย traditional climb) การปีนประเภทนี้โดยทั่วไปแล้วนักปีนจะปีนในระดับที่ง่ายกว่าฝีมือตัวเองเล็กน้อยเช่นกัน เนื่องจากระบบป้องกันภัยที่ต้องเตรียมขึ้นนั้นผู้ปีนต้องเตรียมเองทั้งส่วนที่ยึดเข้ากับหน้าผา และส่วนที่ยึดกัับตัวนักปีนเอง (Quick draw)

3. Sport Climb เป็นการปีนที่ใช้ระบบป้องกันภัยเช่นเดียวกันกับแบบ traditional climb เพียงแต่ว่า ส่วนที่ติดกับหน้าผานั้นจะถูกเตรียมไว้อย่างถาวร นักปีนเพียงแต่ติดตั้งส่วนที่ยืดติดกับตัวนักปีนตามเส้นทางปีนที่ถูกเตรียมไว้ให้แล้ว โดยนักปีนรุ่นพี่ที่ฝีมือดีและต้องการสร้างเส้นทางต่าง ๆ เหล่านี้ให้นักปีนรุ่นหลังได้สัมผัสโดยทั่วถึงกัน การถือกำเนิดของ sport climb ทำให้กีฬาชนิดนี้แพร่หลายได้มากขึ้น เนื่องจากนักปีนฝีมือใหม่สามารถเข้าถึงจุดปีนต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ด้วยระบบเดียวกันนี้ทำให้สามารถ นำไปติดตั้งในพื้นที่ต่าง ๆ โดยใช้ระบบตัวยึดลักษณะเดียวกันกับหน้าผาจริง แต่เพิ่มเติม ตัวยึดจับสำหรับปีน เท่านี้เราาก็จะได้สิ่งที่เรียกว่าหน้าผาจำลอง เท่านี้กีฬาปีนเขาก็แพร่หลายเข้าสู่เมือง และผู้คนในกลุ่มใหญ่ได้ (คลิป urban climb แสดงให้เห็น sport climb ในสถานที่ด่าง ๆ )

ผมเองก็เป็นอีกคนที่มีโอกาสทำความรู้จักกีฬาปีนเขาผ่านรูปแบบที่เรียกว่า sport climb ครั้งแรกประมาณยี่สิบปีที่แล้วที่เมือง Rochester รัฐ New York ในรูปแบบของหน้าผาจำลอง ภายในมหาวิทยาลัยที่ไปเรียน หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้เล่นอีกเลย จนกระทั่งมาค้นพบกีฬาประเภทเดียวกันนี้ที่ไร่เลย์เมื่อเรียนจบ จนในที่สุดได้ตัดสินใจไปเรียน course 3 วัน ที่ไร่เลย์ เพื่อจะเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า lead climb, rope control, multi-pitch climb และอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการเล่นกีฬา Sport Climb ได้อย่างสนุกสนาน

ไร่เลย์เปรียบเสมือนเมืองในฝันของนักปีนเขาทั่วโลก ทะเลอันดามันสีมรกต พร้อมกับหน้าผาหินปูน ที่เต็มไปด้วยเส้นทางปีนเขา กว่าสองร้อยเส้นทาง ขนาดว่านักปีนขั้นนำ สามารถใช้ชีวิตที่ได้นักเป็นปีได้ กว่าที่จะได้สัมผัสครบทุกเส้นทางที่ไร่เลย์มีไว้ให้ และมีนักปีนเขาหลายต่อหลายคนมาใช้ชีวิตวนเวียนกลับไปมาเช่นนี้หลายต่อหลายคน หลังจากที่เรียนจบ course 3 วัน ผมเองก็แทบจะใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ที่จะขับรถไปในวันพฤหัสแล้วกลับวันอาทิตย์ บางครั้งก็กระฉอกไปวันอังคาร กีฬาประเภทนี้มันมีเสน่ห์น่าหลงไหลเสียจริง ๆ

Sport Climb ใช้จุดยึดบนหน้าผาที่เรียกว่า Bolt ที่ทำจากไททาเนียมฝังบนผาด้วยกาวพลังสูง หรือการฝังด้วยน๊อตประเภทอื่น หรืออาจจะเป็น sling ซึ่งหมายถึงเชือกที่ผู้อยู่กับร่องรูตามธรรมชาติของหน้าผา นักปีนผาปีนขึ้นไปพร้อมกับเชือกผูกกับกางเกงพิเศษที่เรียกกันว่า harnesses เพื่อจะดึงเอาระบบความปลอดภัยส่วนตัวตามไปด้วย เมื่อปีนไปถึง bolt ก็ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Quick Draw ซึ่งประกอบไปด้วย Calabriner เชื่อมกันไว้ด้วย sling คลิปด้านหนึ่งเข้า bolt บนหน้าผา อีกด้านหนึ่งคลิปเข้ากับบเชือกที่ตัวเองลากขึ้นมาด้วย เพื่อที่จะสร้างระบบรอกความปลอดภัยกับคู่ปีนที่ เฝ้ามองความปลอดภัยนี้อยู้่เบื้องล่างและเป็นผู้ควบคุมระบบเชือกเส้นนี้ ตำแหน่งที่เรียกว่า belayer นี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในขั้นตอนการปีนผาแบบนี้ belayer ที่มีความใส่ใจจะสร้างให้กีฬานี้เป็นกีฬาที่ปลอดภัยมากกว่าการปั่นจักรยานทุกประเภทเป็นไหน ๆ

เมื่อนักปีนที่ปีนคนแรกนี้ปีนไปจนถึงสุดเส้นทางที่ออกแบบไว้ ก็จะเจอกับจุดที่เรียกกันว่า Anchor ซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบด้วยห่วงโลหะใหญ่ ๆ ยึดอยู่กับ sling ยาว ๆ ล๊อคกับหน้าผาอย่างน้อย ๆ สามจุด ซึ่งเราจะใช้ห่วงนี้ในการร้อยเชือกที่เราลากขึ้นมา เป็นเสมือนรอกเพื่อใช้ในการโรยตัวลงไปสู่พื้น ในขณะที่ค่อย ๆ เก็บ Quick Draw ที่เราทิ้งไว้ตามเส้นทางปีน ก่อนที่จะใช้ระบบรอกดังกล่าวนี้ ในการปีนบนเส้นทางเดิมอีกครั้งถ้าต้องการ แต่ครั้งหลังนี้ไม่มีความจะเป็นต้องมีการลากเชือกขึ้นไป หรือ คลิปตัวเองเข้ากับหน้าผาอีกแล้ว เพราะระบบความปลอดภัยถูกสร้างไว้แล้วด้วยระบบรอกที่ว่า นักปีนที่ปีนคนแรกเพื่อไปสร้างระบบรอกเราเรียกว่า Lead Climber ส่วนการปีนภายหลังที่มีการสร้างระบบรอกไว้แล้ว เราเรียกมันว่า Top Rope Climb การ lead climb ก็จะยากกว่า top rope เล็กน้อย เนื่องจากความตื่นเต้น และจังหวะในการคลิปเชือกบางครั้งจำเป็นต้องใช้ทักษะในการทรงตัวอยู่บ้าง ในขณะที่ top rope นั้นคนปีนมีหน้าที่ปีนอย่างเดียว ระยะตกเป็นศูนย์ ในขณะที่ระยะตกของ lead climber จะประมาณ 1-2 เมตร ไม่สูงมากนักแต่สร้างความเสียวได้มากเลยทีเดียว

การปีนเขาสำหรับมือใหม่ มันเป็นกีฬาที่ทดสอบจิตใจและพละกำลังของร่างกาย แต่เมื่อคุ้นเคยกับมันมากขึ้นมันก็จะกลายเป็นเรื่องของเทคนิค การทรงตัว และการควบคุมภาวะจิตใจ ความสนุกของการปีนเขาอยู่ที่การแก้ปัญหาที่เส้นทางนั้น ๆ สร้างไว้ คล้าย ๆ กับการต่อ Jigsaw หรือเล่น Puzzle ในขณะที่ยังเป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อและ cardio ได้ดีระดับหนึ่ง ด้วยความคลั่งไคล้กีฬาปีนเขาจากไร่เลย์ ทำให้ผมสรรหาสถานที่ฝึกซ้อมที่เป็นไปได้ ซึ่งก็พบว่าในพื้นที่ กรุงเทพนั้นก็มีหน้าผาเทียมอยู่จำนวนมากเลยทีเดียว ผมเองเคยได้ไปสัมผัสมาแล้วเกือบทุกที่ อย่างไรก็ตามบรรยากาศการปีนเขาจริงที่ไร่เลย์ กับการปีนเขาเทียมในกรุงเทพนั้นค่อนข้างจะแตกต่างกันอยู่มาก

ผู้คนที่ปีนผาเทียมในกรุงเทพนั้นค่อนข้างจะจริงจังก้บกีฬาเป็นอย่างมาก และโดยส่วนใหญ่จะค่อนข้างปิดตัวและไม่ค่อยจะต้อนรับผู้มาใหม่มากนัก ผิดกับบริเวณไร่เลย์ ที่กีฬาปีนเขาเป็นเหมือนกิจกรรมร่วมสนุกกันของเหล่าชาวเลย์ มีความเป็นเพื่อน ความสนุกสนานปะปนอยู่มากกว่า อย่างไรก็ตามผมอาจจะไม่ได้มีเวลาที่จะกลับไปที่ผาเทียมแต่ละแห่งบ่อยเพียงพอที่จะทำความรู้จักใคร การกล่าวเช่นนี้อาจจะไม่ค่อยแฟร์นัก ในขณะที่ผมไปไร่เลย์บ่อยครั้งจนทำความรู้จักคนในพื้นที่ไว้ได้หลายคน

อย่างไรก็ตามในขณะที่การปีนผาจำลองนั้น จะเป็นการออกกำลังกายที่สนุกสนาน แต่ด้วยความเป็นของจำลองในพื้นที่ไม่กว้างใหญ่มากนัก บรรยากาศเต็มที่ก็ให้กับเราได้เพียงการออกกำลังกายที่สะใจ ได้เหงื่อ เมื่อเทียบกับการปีนเขาจริงนั้น บรรยากาศ วิว ทิวทัศน์ มันเป็นกีฬา ที่พ่วงกับการพักผ่อนหย่อนใจได้ดีที่สุดรูปแบบหนึ่งที่ยากจะหากีฬาประเภทอื่นมาเทียบเคียง

ปัจจัยที่สี่ : สุขภาพดีไม่ต้องมียารักษาโรค

มนุษย์เราใช้ชีวิตเสี่ยงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตที่ว่าด้วยปัจจัยสี่ เราได้ถ่ายโอนให้เป็นหน้าที่ของมืออาชีพ ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพที่ไม่ได้มีความจำเป็นใด ๆ เลยในการดำรงชีวิต นานเข้าทักษะเหล่านั้นค่อย ๆ เลือนหายไป ปัจจัยที่สี่ที่ว่าด้วยยารักษาโรค ถูกมองเป็นการเข้าถึง เงินที่เพียงพอ โรงพยาบาลที่เพียงพอ หมอที่เพียงพอ มีน้อยคนนักที่จะพูดถึงสุขภาพที่ดีเพียงพอ การดูแลรักษาตัวเองที่ดีพอ ความรู้ต่าง ๆ ในการดูแลตัวเองที่เพียงพอ ตั้งแต่เด็กจนโต เมื่อเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย เราพึ่งพายา หนักขึ้นเราก็พึ่งหมอ และคิดว่าชีวิตเรามีมืออาชีพที่คอยดูแลอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเราอีกต่อไป ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ หน้าที่ได้ถูกแบ่งกันไปแล้ว และนี่เป็นการดำรงชีวิตอยู่ในความเสี่ยงอย่างมหันต์

มนุษย์เราควรมีความรู้ในการดูแลสุขภาพตัวเอง มีความรู้ในการรักษาตัวเอง มีทักษะในการดำรงชีพอย่างมีสุขภาพ มีทักษะในการเข้าใจและรักษาตัวเองได้อย่างเหมาะสม สิ่งเหล่านี้เราทำได้ แต่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการฝึกฝน หมอที่ดีจะต้องมีทักษะในการซักถามอาการผู้ป่วย แต่ผู้ป่วยที่ดีจะรู้ลึกซื้งถึงอาการ ความรู้สึกและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ดีที่สุด มากกว่าหมอที่มีทักษะการถามที่ดีที่สุด ในขณะที่ผู้ป่วยเองก็ควรจำทำการเรียนรู้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของโรค สาเหตุ อาการ การพัฒนาของโรค ความเสี่ยง การติดต่อ และอื่น ๆ เท่าที่เราจะทำได้ เมื่อมีโอกาสได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เมื่อได้รับการจ่ายยาเราก็ควรจะรู้ชื่อยาทุกประเภทที่ได้ และควรที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะทำความเข้าใจถึงกระบวนการทำงานของยาแต่ละชนิด เพื่อทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังจะกินเข้าไปนั้นมีความเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยเรามากน้อยเพียงไร เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เป็นนิสัย เราก็จะมีความรู้พื้นฐานในการดูแลตัวเองมากกว่า 80% ของโรคภัยไข้เจ็บที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา รวมไปจนถึงยาประเภทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

ปัจจุบันผมแทบจะไม่กินยาเลยแม้แต่ขนานเดียว ผมไปหาหมอเพียงบางครั้งเท่านั้น เมื่อไม่แน่ใจ หรือต้องการผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยโรค แม้ว่าเมื่อมั่นใจเรื่องโรคแล้วผมอาจจะไม่ใช้ยาที่หมอให้เลยแม้แต่เม็ดเดียว การฝึกฝนนี้ขยายวงไปสู่คนภายในครอบครัวของผมเองด้วย ผมไม่ได้ต้องการชวนให้ผู้อ่านมาปฏิบัติเอาเยี่ยงอย่าง แม้ว่าผมจะไม่ไปพบหมอ แต่ในรอบตัวผมมีหมอผู้เชี่ยวชาญแทบทุกสาขาที่ผมสามารถยกหูคุยได้ภายในไม่กี่นาที การปฏิบัติเช่นนี้ผมจึงไม่คิดว่าเป็นการใช้ชีวิตที่เสี่ยงมากนัก แต่ผมทำเพื่ออะไร

ผมต้องการ “ทักษะ” ความสามารถที่จะสังเกตุ อาการ สิ่งปกติในร่างกายของผม ทำความเข้าใจโรคร้าย การบาดเจ็บ และเรื่องราวอื่น ๆ ทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นกับผมและครอบครัวให้มากที่สุด โดยที่เสี่ยงน้อยที่สุด ผมต้องการให้ร่างกายของผมและคนในครอบครัวมีโอกาสฝึกซ้อมเพื่อที่จะต่อสู้กับภยันต์อันตรายทั้งหมดที่จะเกิดกับสุขภาพร่างกายของผมเองและคนในครอบครัว ก่อนที่จะต้องไปถึงมือผู้เชี่ยวชาญ ผมได้อ่านบทความของคุณพ่อที่เสียลูกไปกับโรคมือเท้าปากที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ผมเข้าใจในความรู้สึกของพ่อที่เสียลูก เพราะผมเองก็เคยเสียลูกไปเช่นเดียวกัน แต่ผมเห็นความบกพร่องของวิธีปฏิบัติ ดูแลรักษาของพ่อคนนี้เช่นเดียวกัน และผมจะไม่มีวันที่จะเดินซ้ำรอยครอบครัวนี้เป็นอันขาด ยกตัวอย่างเช่นให้กินยาแก้ไขอย่างเคร่งครัดทุก 4 ชั่วโมงและบังคับให้ลูกไปโรงเรียนพร้อมกับยา เป็นต้น

เมื่อสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ผมเองก็เคยมีนิสัยเคยชินกับการกินยาแก้ปวดลดไข้ กินไว้ กินดัก กินแก้ ด้วยความที่รู้สึกว่าต้องเรียนให้ได้ ทำงานให้ได้ไม่ว่าจะมีสภาพเป็นอย่างไรก็ตาม ทำแล้วมันเท่ห์ ผมเริ่มมาดูแลตัวเองเมื่อเกิดอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าขณะหัดวิ่งระยะไกล (ต่ำกว่า 10 กิโล) ด้วยการอ่านหนังสือ เพียงเพราะผมไม่รู้ว่าต้องไปหาหมอประเภทใดเมื่อเกิดอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย โชคดีที่ผมได้หนังสือดี เมื่อผมสามารถรักษาตัวเองให้หายได้เป็นปลิดทิ้ง ผมจึงเข้าใจเอาเองว่ามีหลากหลายอาการเจ็บป่วย บาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับเรานั้นไม่ได้ซับซ้อนจนเกินไป และไม่ได้จำเป็นต้องถึงผู้เชี่ยวชาญเสมอไป และถ้าหากเราหาความรู้เพิ่มเรื่อย ๆ เราก็จะสามารถดูแลตัวเองได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

ผมมีโอกาสได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าค่ารักษาพยาบาลที่ต่างประเทศแพงมาก ผมจึงตั้งหน้าตั้งตาออกกำลังกายอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะผมเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าช่วงใดที่ผมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอผมจะไม่ค่อยป่วย ถ้าไม่เช่นนั้นผมจะป่วยเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่ายมาก ๆ เนื่องจากผมถูกตัดต่อมทอลซิลและอะไรอื่น ๆ บริเวณลำคอไปหมดแล้วตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่มีปราการด่านแรกที่จะจัดการกับเขื้อโรคที่เข้าผ่านปากและจมูกของผม ผมแทบจะไม่เคยได้ทานยาเลยตลอดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเดินทางไปต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน ยกเว้นยาโรคกระเพาะอาหาร เนื่องจากผมมี ulsers ในกระเพาะและในบางครั้งเมื่อเกิดความเครียดจนเกินควบคุม ผมจำเป็นต้องพึ่งยาที่ระงับการหลั่งกรด (ผมเคยต้องซื้อยานี้ทั้งหมดสองครั้งในชีวิตผมครั้งละประมาณ 2-3 วัน) นอกนั้นก็ทนเอาไปตามอาการ โชคดีที่ผมไม่เป็นโรคติดเชื้ออื่น ๆ ประเภทแบคทีเรียเลย เป็นเพียงเพราะผมออกกำลังกายสม่ำเสมอและก็โชคดี ผมมาถือปฏิบัติในการที่จะให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง ใช้การสังเกตุ ใส่ใจในตนเองเพื่อเป็นการดูแลรักษาตนเองอย่างเคร่งครัดมากขึ้น ภายหลังจากอ่านหนังสือชื่อ Spontaneous Healing ของหมอ Andrew Weil เนื่องจากผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับแนวคิดของเขา

ผมเล่นกีฬาค่อนข้างหนักและมีอาการบาดเจ็บประจำตัวอยู่หนึ่งอย่างคือ เจ็บกล้ามเนื้อน่อง เป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากเมื่อผมไปพบหมอ และเปลี่ยนแนวความคิดของผม มหาวิทยาลัยของผมนั้นเป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย จึงมีนักเรียนแพทย์มาวินิจฉัยเมื่อผมตัดสินใจไปคลินิคของมหาวิทยาลัย ผมได้เรียนรู้เป็นอย่างมากเมื่อ อาจารย์แพทย์ได้สอนนักศึกษาแพทย์ผู้นั้น ว่าอาการของผมน่าจะเกิดจากอาการกล้ามเนื้ออักเสบที่เป็นผลจากตะคริว (คงคาดว่าจากตำแหน่งของกล้ามเนื้อที่เจ็บ) แล้วมีการวิเคราะห์ต่อไปอีกว่าสาเหตุของการเกิดตะคริวคืออะไร ในวันนั้นผมได้เรียนรู้การแพทย์ทางกีฬาเป็นอย่างมาก และไม่เคยเห็นแพทย์คนไทยคนไหนให้ความสนใจอย่างเช่นวันนั้นอีก (ที่ผมเจอส่วนใหญ่ก็บอกแค่ให้เลิกเล่นกีฬา ตัดปัญหาแบบง่าย ๆ ) หลังจากนั้นผมจึงใช้ความเป็นอาชีพจากแพทย์ทุกครั้งเพื่อศึกษาถึงโรคร้าย และอาการบาดเจ็บใหม่ ๆ ที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน

ผมเป็นคนหน้าอกบุ๋ม มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งทำให้มีผลต่อตำแหน่งของหัวใจของผม และเป็นปัญหาเมื่อผมออกกำลังกายหนัก ๆ บางประเภท (จริง ๆ แล้วทุกประเภทที่ผมทำอยู่ คือ ว่ายน้ำ จักรยาน วิ่ง) ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมหยุดออกกำลังกายไปเพื่อเตรียมสอบ Qualify แล้วกลับมาออกกำลังกายใหม่ซึ่งตรงกับเวลาในช่วงปลายฤดูหนาว ผมเกิดอาการเจ็บกล้ามเนื้อหน้าอก จึงไปปรึกษาแพทย์ ผมเคยเป็นคล้าย ๆ อย่างนี้มาแล้วที่เมืองไทยแต่หมอให้ยาแก้เครียดมากิน (ซึ่งผมก็ไม่ได้กิน) แต่ผมเริ่มส่งสัยว่าผมมีอาการผิดปกติของหัวใจหรือไม่ เพราะเท่าที่เขาว่ากันอาการเจ็บหน้าอกไม่ควรจะเกิดขึ้นไม่ว่ากับใครก็ตาม (แม้ว่ากับผมมันเป็นเรื่องปกติพอสมควร) แต่ ณ เวลานี้ทัศนคติผมเปลี่ยนไป ผมต้องการเรียนรู้ เมื่อไปปรึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัย ก็ปรากฎว่าสนุกมาก ๆ ครับ หมอจับผมทดสอบทุกอย่าง EKG Stress Test วิ่งบนสายพาน  X-ray เยอะแยะมากมาย สิ่งผิดปกติแรกที่หมอสังเกตุ (เขาไม่ได้บ่นเรื่องอกบุ๋ม) คือ นักเรียนแพทย์แทบไม่สามารถ ส่องเห็นลิ้นหัวใจผมได้เลย ใช้เวลาอยู่นานมาก จนต้องให้อาจารย์แพทย์มาทำให้ และต้องกดแรงและเจ็บมาก อาจารย์บ่นนิด ๆ หน่อย ๆ สรุปว่าหมอวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะอกบุ๋ม หัวใจอยู่ผิดที่นิดหน่อย ทำให้บางครั้งทำงานหนัก หรือกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกเนื่องจากกระดูกอยู่ผิดที่ผิดทางการทำงานก็ไม่ค่อยปกติมากนักจึงเกิดอาการเจ็บของกล้ามเนื้อได้

หลังจากนั้นไม่นาน เกิดอุบัติเหตุระหว่างยกน้ำหนักท่า Squat แล้วทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังของผมเคลื่อนมาทับเส้นประสาท ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บอย่างรุนแรง และเป็นอีกครั้งที่ผมต้องใช้ยาระงับปวดที่รุนแรงมาก ๆ เป็นครั้งแรก การบาดเจ็บครั้งนั้นทำให้ชิ้นส่วนของร่างกายของผมตรงส่วนนั้นไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย จะมีอาการปวดหลังเป็น ๆ หาย ๆ อยู่ตลอดเวลา บางครั้งหนัก ๆ ก็เจ็บมากจนต้องใช้ยาแก้ปวด (ผมเคยใช้อีกหนึ่งครั้งหลังจากป่วยครั้งแรก) บางครั้งก็เจ็บมากขนาดเดินไม่ได้ หรืออาจจะเดินตัวแข็งหันไปมาไม่ได้ บางครั้งต้องพึ่งยาคลายกล้ามเนื้อ แต่ผมก็ยังสามารถออกกำลังกายต่อไป แต่ในช่วงนั้นผมลดปริมาณการออกกำลังกายลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากใกล้สำเร็จการศึกษา ผมเป็นบ่อยขึ้นหลังจากที่กลับมาเมืองไทย การเปลี่ยนสถานที่ การเริ่มทำงาน ทำให้ผมต้องเริ่มปรับตัวกับหน้าที่การงานใหม่ และไม่ได้ออกกำลังกายเป็นเรื่องเป็นราวเลย เมื่อกลับมาออกกำลังกายกลับพบว่าอาการเจ็บมันรุนแรงถึงขนาดไม่สามารถวิ่งได้ ผมจึงตัดสินใจหยุดกีฬาไตรกีฬาที่ผมชอบโดยสิ้นเชิง

ผมมีอาการปวดบ้าง เจ็บบ้าง เดินไม่ได้บ้าง จนในท้ายที่สุดผล x-ray ยืนยันว่าผมเริ่มมีอาการของโรคกระดูกเสื่อม ซึ่งมีแต่จะเสื่อมลงเรื่อย ๆ หมอแนะนำให้ผมหยุดทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งหมด ซึ่งในเวลานั้นผมเลิกกีฬาวิ่ง หันมาปีนเขา และยกน้ำหนัก เพราะรู้สึกว่าไม่มีการกระแทก แต่หมอแนะนำให้ว่ายน้ำ ผมก็พยายามถามถึงกีฬายกน้ำหนัก ปีนเขา ซึ่งหมอไม่แนะนำเลย ผมถามเรื่องวิ่งก็ยิ่งถูกห้ามเข้าไปใหญ่ หมอให้ว่ายน้ำสัปดาห์ละสี่วัน เพื่อเป็นการออกกำลังกาย (ผมรู้สึกเหมือนใบสั่งกายภาพบำบัด) ผมไม่เคยทำใจได้เลย แม้ว่าผมจะมีพื้นฐานการออกกำลังกายคือว่ายน้ำ แต่ด้วยทัศนคติว่าการว่ายน้ำในเวลานี้คือกายภาพบำบัด และหนทางเดียวที่ผมเลือกไม่ได้ ในที่สุดผมก็ไม่เคยได้ไปว่ายน้ำตามที่หมอสั่งเลย จนกระทั่งผมได้ไปพักผ่อนที่ภูเก็ตในช่วงที่มีการแข่งขันไตรกีฬา กีฬาที่ผมโปรดปรานที่สุด เพราะผมต้องการไปชมการแข่งขัน ผมดูการแข่งขันอย่างตั้งใจ และมีแรงบันดาลอีกครั้ง แล้วตั้งใจว่าในปีหน้าผมต้องกลับมาเป็นผู้แข่งขันเองให้ได้ แล้วในที่สุดผมก็กลับมาแข่งขันประเภททีม โดยผมทำหน้าที่ปั่นจักรยาน เมื่อจบการแข่งขันผมบอกกับตัวเองว่าผมต้องกลับมาอีกครั้งแล้วทำให้ครบทุกอย่างให้ได้

ผมจึงเร่ิมต้นซ้อมวิ่งเป็นครั้งแรกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา (2554) ผมค้นคว้า และทดลองการเปลี่ยนท่าวิ่ง ใช้รองเท้ามินิมัลลิส โดยไม่ปรึกษาแพทย์เลย เพราะผมรู้ว่าหมอซึ่งเห็นว่าการวิ่งมีการกระแทกสูงและอันตรายต่อหลัง มีเพียงกลุ่มนักวิชาการ แพทย์ และคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่เชื่อว่าการหันมาวิ่งด้วยปลายเท้า ใช้รองเท้าที่บางที่สุด หรือใช้เท้าเปล่าจะป้องกันปัญหานี้ได้ ด้วยทักษะการฟังตัวเองของผมที่ฝึกมาหลายสิบปีมาเป็นประโยชน์กับผมมากในช่วงที่หัดใหม่นี้ ผมใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจากเริ่มวิ่งด้วยเท้าเปล่า ประมาณ 15 นาทีจนร่วมแข่งรายการกรุงเทพมาราธอนในระยะ 21.1 กม. และจากวันนั้นถึงวันนี้ ผมก็ได้สัมผัสระยะทาง 42.195 กม. เป็นครั้งแรกในชีวิตของผม

ในกีฬาวิ่งผมได้ใช้ทักษะในการฟังร่างกายตัวเองมากถึงมากที่สุด เพราะทุกก้าวที่เปลี่ยนไปมีความรู้สึกใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ ผมได้สังเกตุ ติดตามผล เฝ้ามองอาการเจ็บ ปวด เมื่อย ไม่น่าเชื่อว่าผมรู้สึกว่าร่างกายผมแข็งแรงยิ่งกว่าเมื่อก่อนที่จะเป็นโรคกระดูกเสื่อมเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะกีฬาจักรยานที่ทำให้ผมต้องก้มเป็นระยะเวลานาน ๆ จนบางครั้งอาการปวดหลังผมกำเริบ ผมคงลืมไปแล้วว่าผมเป็นโรคกระดูกเสื่อม

ในตอนนี้ผมพยายามปรับปรุงท่าปั่นจักรยานของผม ให้เข้ากับความยืดหยุ่นของตัวผมที่เหลือน้อยเต็มทน เนื่องจากกล้ามเนื้อหลังหลายส่วน รวมไปถึงกล้ามเนื้อต้นขาที่ต้องทำงานผิดปกติ รับแรงแทนกระดูก และมีความตึงเครียดค่อนข้างสูง ในขณะเดียวกันผมก็พยายามหาวิธีที่จะช่วยยืด หรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อในส่วนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มจริง ๆ จัง ๆ เสียที ผมคาดว่าผมอยากใช้โยคะเข้ามาช่วย ถ้าผมได้เริ่มร่างกายผมก็น่าจะเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ผมทำไปบนความรู้สึกของร่างกายของผมเอง กับความรู้ที่มีมากมายบนอินเตอร์เนท หนังสือต่าง ๆ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตยังคงเป็นสิ่งมหัสจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างมา ความสามารถในการปรับตัว ซ่อมแซมตัวเอง มีมากมาย เพียงแต่ว่าเราต้องไม่ทิ้งมันไป ต้องฝึกฝน เข้าใจ และใช้มันอย่างถูกวิธี ทักษะนี้เป็นสิ่งสำคัญและผมเชื่อว่ามันจะเป็นบันไดไปสู่สุขภาพที่ดี เป็นจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของปัจจัยที่สี่ คือ ความไม่ต้องการยารักษาโรคใด ๆ ทั้งสิ้น

ผมพยายามเขียนบทความนี้ให้กับบุคคลหนึ่งที่มีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า และได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้เลิกเล่นทุกอย่าง (ตั้งแต่อายุยังน้อย) ซึ่งผมเองไม่มีคำแนะนำดี ๆ ใด ๆ ให้เลย แต่ผมมีความคิดของผมเองว่า ถ้าผมต้องทำตัวเหมือนคนแก่ง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่สามารถเล่นกีฬาใด ๆ ได้เลยนอกจากว่ายน้ำตามที่หมอผมสั่ง แล้วผมเป็นเด็กดีทำตามหมอเพราะกลัวว่าในอนาคตผมจะกลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ผมสู้ลองทำตัวเป็นคนมีขาไปก่อนดีกว่าแล้วเมื่อไรง่อยเปลี้ยเสียขาจริง ๆ แล้วทำตามที่หมอว่าคงไม่สาย ผมว่าคงกำไรชีวิตสำหรับผม ถ้าจะให้แนะนำกันจริง ๆ ผมคงพูดได้แต่ว่า “Just do it and listen to yourself” ครับ