Khao Yai SufferFest Day One : เขาใหญ่ทรมานบันเทิง วันแรก

กิจกรรมบันเทิงในวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ ทั้งในรูปแบบกิจกรรมและชื่อกิจกรรม แต่ความน่าจดจำไม่แพ้เรื่องราวอื่น ๆ ในชีวิตของผมเลยทีเดียว จริง ๆ แล้วชื่อกิจกรรมนั้นเกิดจากความรู้สึกจากก้นบึ้งของจิตใจของผมในระหว่างทำกิจกรรมนั้นอย่างไม่มีคำอื่น ๆ ใดจะสามารถมาทดแทนได้ เขาใหญ่ทรมานบันเทิงนั้นประกอบด้วยกิจกรรมหฤโหดต่อเนื่องกันสองวัน ในวันแรกคือการแข่งขัน The Northface 100 ที่ผมเข้าร่วมในระยะ 50km และวันที่สองคือการปั่นจักรยานข้ามเขาใหญ่จากด่านปากช่องไปยังด่านปราจีนฯและย้อนกลับมายังด่านปากช่องอีกครั้ง ระยะทางรวมตามเป้าหมาย 110Km แต่ไม่น่าเชื่อว่ากิจกรรมที่ใช้เวลารวมกว่า 20hr แบบนี้ เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ

The Northface 100 : Struggling to the finish line

ก่อนที่จะอ่านเลยไป โด่งได้ทำคลิป Teaser เอาไว้ให้ดูตรงนี้ครับ

ผมเคยร่วมแข่งขันในรายการนี้ครั้งแรกในปีที่ผ่านมาในระยะทาง 25km ด้วยเวลาที่น่าพอใจ วิ่งบนเส้นทางป่าเขาด้วย Vibram Fivefingers การท่องเที่ยวพักผ่อนในพื้นที่เขาใหญ่ สร้างบรรยากาศที่มีความสุขที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมคงกลับไปอีกครั้ง แต่ในปีนี้กลับเป็นเพชร สมาชิกเซเลปรายล่าสุดของทีมเราสมัครเข้าร่วมรายการเป็นคนแรก แล้วอ้างว่าเป็นผลจากการสะกดจิตจากผมที่เป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งของทีม V40 ของเรา ผลจากการสมัครของสมาชิกมือใหม่ที่เพิ่งเพิ่มระยะวิ่งเป็น half marathon เป็นครั้งแรกสร้างแรงกดดันให้ผมมากเพียงพอที่จะทำให้ผมมีความสนใจที่จะสัมผัสกับระยะ 50Km เป็นครั้งแรกของชีวิต ผมจึงวางแผนชวนโด่ง ตุ๊ และหมอนก สามคนที่ผมมั่นใจว่าจะไม่ปฏิเสธผมแน่ ๆ แม้ว่าผมจะต้องใช้การหลอกล่อเรื่องการถ่ายวีดีโอเข้ามาเพื่อให้โด่งตัดสินใจ แต่ลึก ๆ ผมก็รู้ว่าโด่งก็อยากจะลองสัมผัสระยะทางนี้ร่วมกับเพื่อน ๆ เช่นกัน หลังจากที่ทุก ๆ คนที่กล่าวมาจะผ่านระยะ 42.195 km มาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก (ยกเว้นตุ๊ที่ผ่านมาแล้วหลายครั้ง) ในวันแข่งที่จะถึงนั้นมีเพียงผมที่จะมีความพร้อมน้อยที่สุดเนื่องจากไม่เข้าร่วมแข่งขันกรุงเทพมาราธอนร่วมกับคนอื่น ๆ

IMG_4063

เมื่อเวลาการแข่งขันใกล้เข้ามา ผมเริ่มการซ้อมค่อนข้างช้าเนื่องจากพักผ่อนจากรายการหลักอย่าง Challenge Phuket ผมวางแผนซ้อมไม่กี่สัปดาห์ล่วงหน้าแต่จากประสบการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น ผมก็สามารถทำระยะ 30km ได้ถึงสองครั้งระหว่างการซ้อม อย่างไรก็ตามก็มีเรื่องน่ากังวลใจที่เกี่ยวกับหลังของผมเล็กน้อย เพราะหลังจากระยะทางประมาณ 25K หลังของผมจะมีอาการตึง ๆ เล็กน้อย ผมจึงเจตนายกเว้นระยะ 40km ที่วางแผนไว้ในตารางซ้อม และตั้งเป้าหมายการวิ่ง 50Km ครั้งนี้แบบเบา ๆ โดยใช้ระบบ Run-Walk ซึ่งผมเริ่มเอามาใช้ตั้งแต่ในการซ้อมยาวที่ระยะ 30km ทั้งสองครั้ง ผมทดลองทั้ง 2:30/1:00 และ 4:00/1:00 ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี จากประสบการณ์ในสนามปีที่ผ่านมาผมคาดว่า Run-Walk 4:00/1:00 ที่ pace 6 น่าจะเป็นไปได้

ในการแข่งขันครั้งนี้มีอุปกรณ์ภาคบังคับหลายชิ้นที่ผมต้องจัดหามาใหม่ ตั้งแต่เป้น้ำ 2L และไฟฉายคาดหัว ซึ่งผมถือโอกาสทำการทดสอบชุดและอุปกรณ์ทั้งหมดในการซ้อมยาวครั้งสุดท้ายของผมเรียบร้อยแบบไม่มีปัญหา เรานัดเจอกันในวันลงทะเบียนเพื่อไปฟัง race briefing ซึ่งผู้บรรยายค่อนข้างขู่เอาไว้เยอะ ผมเองไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะคุ้นเคยว่าผู้บรรยายคนนี้พูดจาเกินจริงเสียส่วนใหญ่ เช้าวันแข่งผมเตรียมอาหารและอุปกรณ์มาที่จุดเริ่มต้นตั้งแต่ตีสี่ แต่สภาพเส้นทาง การจอดรถ และความยุ่งเหยิงของจุดเริ่มต้น กับสิ่งที่ไม่ตรงกับที่ผู้บรรยายได้นัดแนะเอาไว้ ทำให้ผมไม่มีเวลาที่จะวอร์มเรียกเหงื่อเล็ก ๆ อย่างที่ผมต้องการ เมื่อถูกเกณฑ์เข้าเส้นสตาร์ทผมจึงพยายามหาเพื่อนร่วมทีมเพื่อที่จะร่วมถ่ายรูปและออกวิ่งไปด้วยกันอย่างน้อย ๆ ในระยะเริ่มต้น เมื่อเสียงปล่อยตัวดังขึ้นเราก็ค่อย ๆ คืบคลานออกไปในความมืด เป็นครั้งแรกที่ผมวิ่งในสภาวะมืดสนิท อาศัยเพียงแสงไฟจากไฟฉายที่อยุ่บนหัว ทำให้เข้าใจว่าการทำงานของระบบร่างกายมันน่าพิศวง ประกายไฟช่วงสั้น ๆ ที่กระทบพื้นส่องสว่างพื้นที่เล็ก ๆ เบื้องหน้าระยะเวลาเพียงพอที่จะให้สมองจดจำเพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งการวางเท้า ก้าวแล้วก้าวเล่า นักวิ่งเทรลระดับโลกที่ชอบซ้อมกลางคืนได้เคยกล่าวว่า ในการวิ่งตอนกลางวัน เขามองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แต่ในเวลากลางคืนนั้นเขาเห็นเพียงเบื้องหน้าระยะเพียงพอให้เท้าเขาสัมผัสพื้นเพียงเท่านั้น ทำให้เขามีสมาธิในการวิ่งและให้อารมณ์วิ่งของเขามากกว่าที่กลางวันจะให้ได้ ผมเริ่มเข้าใจคำพูดของเขา เราวิ่งเพลิน ๆ ตามความเร็วที่ผมกำหนดเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มีหลงทางกันบ้างพอให้ได้ตื่นเต้น ก็อย่างว่า เรามองอะไรไม่เห็น ได้แต่วิ่งตามคนข้างหน้าไปอย่างไม่ต้องคิด ระยะทาง 12km แรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว

IMG_3906

ในช่วงแรกนั้น แม้ว่าโด่ง หรือตุ๊ เองจะมีบ่นบ้างว่าวิ่งสี่นาทีเดินหนึ่งนาทีดูเหมือนว่าจะเหนื่อยนะ เปลี่ยนเป็นวิ่งหนึ่งเดินสี่จะดีหรือเปล่า แต่ทุกคนก็บ่นแบบทีเล่นทีจริง คงมีเจตนาจะหยอกล้อผมที่ทำหน้าที่คุมเวลาให้ทีมของเราทั้งสี่คน ตั้งแต่ กม. ที่ 10 เป็นต้นมาเส้นทางเริ่มเป็นการขึ้นเขาเรื่อย ๆ มีวิ่งลงบ้าง โด่งเริ่มบ่น ๆ ว่าเจ็บเข่า เหมือนกับทุก ๆ ครั้งในช่วงหลังที่โด่งบ่นเจ็บเข่าในช่วงซ้อม แต่สัญญาณที่ไม่ค่อยดีเริ่มเกิดขึ้นกับผม หลังผมเริ่มรู้สึกตึง ๆ แปลบ ๆ บริเวณหลังล่างด้านซ้าย ขณะวิ่งลงเขา แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะยังไม่ทันรู้สึกชัดก็ถึงจังหวะเดินของเรา บางครั้งจังหวะวิ่งที่เป็นเนินเสียส่วนใหญ่ที่ระยะนี้ผมก็ไม่รู้สึกเท่าไรนัก ผิดกับโด่งที่บ่นเจ็บเข่าถี่ขึ้นทุกทีทุกที และเริ่มร้องขอให้หยุดเดินก่อนที่จะครบสี่นาทีตามที่เราตกลงกันไว้ ตุ๊เริ่มล้อว่าโด่งต้องการที่จะ “โด่ง” หรือไม่ ตามศัพย์แสลงของทีมสำหรับคำว่า DNF แต่โด่งยังสามารถกัดฟันตามพวกเราไปได้เรื่อย ๆ

IMG_3892

แต่ในที่สุดประตูสู่นรกก็ได้แง้มเปิดขึ้นเมื่อถึงจังหวะวิ่งอีกครั้ง แต่ผมกลับเจ็บแปลบจากหลังส่วนล่างพุ่งขึ้นกลางแผ่นหลังแล้วร้าวลงขา ผมต้องหยุดในทันทีพร้อมอุทานว่า “เห้ย วิ่งไม่ได้แล้วว่ะ” เพื่อน ๆ ไม่ค่อยเห็นผมบ่นเท่าไรนัก ได้ยินดังนั้นจึงบอกว่าให้เราเดินสักพักก่อนมั้ย ผมจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นเดินเร็ว และคอยสำรวจเป็นพัก ๆ ว่าผมเริ่มเหยาะได้หรือยัง แต่ดุเหมือนว่าอาการเจ็บจะเกิดทุกครั้งที่มีการกระแทกของเท้าลงบนพื้น และจะค่อนข้างเจ็บมากเมื่อต้องลงเขา ในเวลานี้ตุ๊เริ่มแซวบ่อยขึ้นว่าจะ “โด่ง” กันมั้ย ที่ CP ถัดไประยะ 20K ผมไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจผมคิดเหมือนทุกครั้งที่เกิดปัญหาระหว่างแข่ง และคงเหมือนกับหลาย ๆ คน คือ ถ้าเราเลิกตอนนี้ ความเจ็บปวดนี้ก็จะจบสิ้นลง ผมตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนทุกครั้ง แต่ผมไม่เคยให้คำตอบนี้กับตัวเอง ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาในกีฬาคนอึด และผมบอกตรงนี้เลยว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ผมมั่นใจว่าการแข่งขันครั้งนี้คงจบลงแล้ว ผมไม่สามารถวิ่งได้อีกแน่นอนในวันนี้ มันอยู่ที่ผมจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อถึง CP 20k

1610037_10152015334794755_1709990689_n

ณ เวลานั้น ผมเริ่มเปรย ๆ กับเพื่อน ๆ ว่าผมน่าจะวิ่งไม่ได้แล้ว คิดว่าทิ้งผมกันไปก่อนได้ แต่ผิดคาด จากความเร็วที่เราทำมาก่อนหน้า กับเส้นทางที่ค่อนข้างจะเป็นเขาสูงชัน ณ เวลานั้น ไม่มีใครตอบอะไร หมอนกบอกว่าหลังเป็นเรื่องสำคัญอย่าฝืน ให้เดินก่อนดีกว่า ส่วนโด่งดูเหมือนจะโล่งใจ แล้วก็บอกว่ากูขอเดินก่อนเจ็บเข่า ส่วนตุ๊เองก็ดันมาบ่นเจ็บขา (มุขเดิม ๆ ซะงั้น) ยังไม่มีใครตัดสินใจทำอะไร ผมได้แต่เดินเร็ว ๆ ไม่ช้าไม่นานแสงสีทองก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นลับ ๆ ขอบฟ้า พวกเราค่อย ๆ เห็นทุ่งกว้าง เวิ้งว้างอยู่กลางหุบเขา ทุกคนลืมความเจ็บปวด และกิจกรรมที่ทำอยู่ชั่วขณะ กุลีกุจอ ควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป โพสเฟส โพส IG กันอย่างอิ่มหนำ ผมนอกจากจะทำการถ่ายรูปด้วย iPhone แล้วยังถือโอกาสเอากล้อง GoPro ออกมาบันทึกภาพเคลื่อนไหวอีกด้วย เราเดินร่วมกันขึ้นเขาช่วงที่สูงชันที่สุดประมาณ กม. ที่ 14 ภาพของกลุ่มคนจำนวนมากเดินเรียงกันขึ้นภูเขาที่ส่วนใหญ่เป็นหิน มีซากการถูกเผาทำลาย ไม่แน่ใจว่าเกิดจากฝ่ายจัดการแข่งขันหรือไฟป่าธรรมชาติ มันช่างดูดุเดือด โหดร้าย เราเสียเวลาบนยอดเขาลูกนั้นอีกพักใหญ่เพื่อเก็บภาพร่วมกัน หลังจากลงเขาลูกนั้น เราก็ไม่พูดถึงเรื่อง “โด่ง” กันอีกเลย เราทั้งหมดคงตองมนต์สะกดของเขาใหญ่เข้าให้เสียแล้ว

หมอนกหลังจากที่ใช้เวลาเดินกับเรามาร่วมชั่วโมง เมื่อฟ้าเริ่มเปิด เส้นทางเริ่มกว้าง เราก็เห็นหลังหมอนกเป็นครั้งสุดท้าย มันช่างเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับผม ในทุก ๆ คราวที่ผมมีปัญหาบาดเจ็บ ไม่สามารถบังคับร่างกายได้อย่างที่หวัง ก็มีเพื่อนคนนี้แหละที่วิ่งนำแบกเอาความฝันของผมไปให้ ภาพเจนตานี้ค่อยห่างไปทีละก้าวละก้าว ผมรู้แน่ว่าวันนี้จะมีใครบางคนในทีมของเราที่ไม่ “โด่ง” อย่างแน่นอน ส่วนที่เหลือนะเหรอ ไม่มีใครทำท่ากระดิก ไม่มีใครบอกลา และไม่มีใครตาละห้อย ราวกับว่ารู้ชะตากรรมของตัวเอง และฝากวิญญาณของเขาไปกับร่างเล็ก ๆ ร่างนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานี้แต่ละคนเริ่มหยิบคว้าเอาท่อนไม้มาทำไม้เท้ากันแล้วค่อย ๆ เดินกันต่อไป ต่างก็เปรย ๆ กันว่ามีไม้นี่มันช่วยได้เยอะเลยนะเนี่ย ส่วนผมเองหาไม้ที่ถูกใจไม่ได้เสียที จนกระทั่งตุ๊ยกไม้ของเขามาให้ผม มันเข้ามือผมอย่างมาก และผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะอยู่ร่วมกับผมจนกระทั่งเข้าเส้นชัยในวันนั้น

IMG_3903

ในตอนนี้ตุ๊ไม่บ่นเจ็บอีกแล้ว บ่นแต่ว่าถ้าเราเดินกันแบบนี้คงไม่ถึงกันง่าย ๆ แน่ ลองวิ่งกันดูหน่อยมั้ย ผมลองดูหน่อยตามที่ว่า แต่ตุ๊กลับบอกกลับมาว่าขอให้หยุดเหอะ ดูแล้วน่าเกลียดกว่าเดินเยอะเลย และแล้วเราก็เดินกันต่อไปเพื่อเข้า CP 20k ไม่มีใครเอ่ยถึงการ “โด่ง” ผมไปหาอาหารกิน เพราะทางผู้จัดบอกว่าจะมีกล้วย แต่บังเอิญที่เราเดินกันเร็วไปหน่อย กล้วยที่เตรียมไว้จึงสุกไม่ทัน ผมหยิบแตงโมกินหลายชิ้น ยืนยืดเส้นสาย บรรเทาความเจ็บปวดที่หลังของผมที่ตอนนี้นั้น ไม่สามารถก้มลงได้แม้แต่น้อย ผมพยายามถอดรองเท้าเพื่อที่จะขจัดกรวดทรายที่หลุดรอดเข้าไป ในใจก็คิดถึงว่าทำไมมีหลาย ๆ คนใส่ปลอกคลุมรองเท้าเอาไว้ ผมกรอกน้ำเพิ่มลงในเป้น้ำของผม ไฟฉายถูกเก็บลงกระเป๋าไปนานแล้ว ผมแอบมองดูถุงอาหารที่ผู้จัดวางไว้ พยายามเดาว่าถุงไหนน่าจะเป็นของหมอนก ราวกับว่าถ้าผมเห็นอาหารของหมอนกแล้วจะพอเดาได้ว่าหมอห่างเราไปนานเท่าไรแล้ว ตอนนี้เราใช้เวลาไปแล้วถึงสามชั่วโมง เวลาแปดโมงเช้าบนเขาใหญ่แม้ยังไม่ร้อน แต่ท้องฟ้าที่ไร้เมฆเช่นนี้ ให้คำสัญญากับเราแล้วว่าวันนี้คงไม่ใช่วันธรรมดาของชีวิต

เราค่อย ๆ คืบคลานไปบนเส้นทางที่เขจัดไว้ให้ ช่วงประมาณ กม. ที่ 25 ก็เริ่มเป็นช่วงเขาอีกรอบ และเป็นเส้นทางที่ทรมานจิตใจเสียเหลือเกิน เราเดินกันมาแล้วร่วมสี่ชั่วโมง เส้นทางถูกจัดให้เป็นทางขึ้นไปบนเขาแล้วกลับออกมา ณ ตำแหน่งเดิม หลายคนออกมาแล้วบอกกับเราว่าบนเขานั้นไม่มีจุดเชคพอยท์อีกแล้ว เราจะยังสามารถรับรางวัลในวันนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปขึ้นเขา ตุ๊เริ่มเปรย ๆ ว่าเราไม่ต้องเข้าไปก็ได้มั้ง ผมพยายามทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วรีบ ๆ เดินหน้าเข้าไป ผมรู้ดีว่าในเวลาที่เราอ่อนล้า เจ็บปวดและเหน็ดเหนื่อยอย่างนี้ การคิดสั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เส้นทางภายในหุบเขาที่สองนั้นประมาณ 7 กม. ซึ่งต้องใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงเศษ แต่เขานั้นมันช่วงเลวร้าย ทั้งในแง่ความความชัน ความร้อน และในแง่ของความรู้สึกเสียรู้ที่ในท้ายที่สุดแล้วเาก็จะต้องกลับไปที่จุดเดิมเมื่อกี้อีกครั้ง หลังจากอีกหนึ่งชั่วโมงของความทรมานนี้ผ่านไป ใช่แล้ว ถึงตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไร “ทรมาน” คำนี้ผุดขึ้นในใจผม ผมสบถขึ้นมาดัง ๆ วันนี้มันช่างทรมานจริง ๆ ณ เวลานี้ ผมเริ่มวิ่งกระหย่องกระแหย่งเป็นพัก ๆ ทีมสามคนของเราแตกเป็นช่วง ๆ โดยมากผมจะเป็นฝ่ายนำขึ้นไป แล้วสองคนหลังค่อย ๆ ตามมาจนทัน โด่งเริ่มมีอาการเข่าที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นมาก ดุเหมือนว่าการเดินลงเขาแทบจะทำไม่ได้เลย ต้องเดินกรรเชียงปูลงมาบ้าง เดินถอยหลังบ้าง ผมก็อาศัยช่วงเวลาที่หยุดรอโด่งมายืดกล้ามเนื้อหลังไม่ให้เกิดการ collapse ขึ้น เพื่อ ณ ตอนนี้ ผมเริ่มมีอาการเข่าอ่อน หลังพับ เป็นพัก ๆ นั่นเป็นอาการของหลังที่พยายาม shut down ตัวเอง แต่ผมยังหลอกให้มันทำงานต่อไป

1779094_724087977609912_1255551634_n

เราเดินกลับออกมา ณ จุดเดิมอีกครั้ง ตอนนี้เราผ่านมาแล้ว 34 km จากที่คาดว่าโด่งอาจจะ “โด่ง” ที่ตรงนี้ แต่หลังจากประสบการณ์ “โด่ง” ในคราวที่ผ่านมาจนเป็นที่มาของคำว่า “โด่ง” โด่งบอกว่าจะไม่มีวันทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง แต่สำหรับผมเองนั้น แม้ว่าเพื่อน ๆ จะไม่รู้เลยว่าในใจผมคิดอย่างไร ผมเองนั้นก็ต้องต่อสู้กับตัวเองเป็นอย่างมากเพื่อที่จะไม่ DNF ในช่วงเวลาที่ตกอับเป็นที่สุด ในเวลาที่ต้องยอมรับว่าผมจะวิ่งอีกไม่ได้แล้วในวันนี้ แล้วเวลาที่เหลือคือการเดิน เราจะผ่านเส้นทางนี้ด้วยการเดินหรือไม่ เราจะหลอกตัวเองได้ไหมว่าเรามารายการนี้เพื่อที่จะวิ่ง 50k ถ้าจำเป็นต้องเดินเราจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร หรือเราต้องบอกตัวเองว่าเรามาเพื่อที่จะทำวันนี้ให้สำเร็จ ถ้าวิ่งไม่ได้ก็เดิน ถ้าเดินไม่ได้ก็ต้องคลาน เราจะเลือกเส้นทางเส้นใด หลาย ๆ คนคงจะมองเห็นว่าผมเป็นคนอึดและอดทน คงไม่มีวันยอมแพ้ ประสบการณ์แข่งขันร่วม 20 ปีที่ไม่เคย DNF คงหล่อหลอมผมให้เป็นคนที่แพ้ไม่เป็น แต่ไม่ใช่เลยประสบการณ์เช่นนี้ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อกำลังใจเป็นอย่างมาก หลาย ๆ ครั้งที่ผมคิดว่า 20 ปีที่ผ่านมาเราทำได้มาตลอด วันนี้จะเป็นครั้งแรกมันไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร หลังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้แต่หมอนกยังบอกว่าอย่าฝืน นี่ผมฝืนมาร่วมห้าชั่วโมงแล้ว เลิกตอนนี้คงไม่เป็นไร แต่จนแล้วจนเล่าผมก็ยังเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งมาค้นพบคำว่า “ทรมาน” ที่มาช่วยชีวิตผมไว้

เรากลับมาที่จุดเดิม 34km ซึ่งเป็นร้านขายของชำเล็ก ๆ เราเดินเช้าไปหลบแดด พักผ่อน ผมเดิมน้ำในเป้อีกครั้ง หยุดกินแตงโมจำนวนมาก กล้วยเริ่มสุกบ้างแล้ว ผมเลือกกินเล็กน้อยเพราะกลัวจะย่อยลำบาก ปวดท้องขึ้นมาจะยุ่งไปกันใหญ่ พักผ่อนกันหนำใจแล้ว เราก็มุ่งเกินเดินต่อไป ผมไม่มั่นใจว่าทำไมตุ๊ยังเดินอยู่กับพวกเรา ตอนนี้ตุ๊ไม่มีอาการเจ็บเหมือนคนอื่น ผมวิ่งย่อง ๆ เป็นพัก ๆ เดินเป็นพัก ๆ ส่วนโด่งที่ดูเหมือนว่าเริ่มเจ็บมากขึ้นก็ถูกทิ้งระยะห่างมากขึ้น ผมกับตุ๊เดินคุยเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต เรื่องราวหนัก ๆ จิปาถะ แต่ไม่มีเรื่องการเมืองที่ร้อนแรงในเวลานี้เข้ามาในหัวของเราเลย เมื่อร้อนเหนื่อยมาก ๆ ผมก็จะบ่นว่าวันนี้มันช่างทรมานจริง ๆ แล้วความรู้สึกท้อแท้มันก็มลายหายไปเหมือนราวกับว่าการยอมรับโดยดุษฎีว่าชีวิตนี้มันคือทุกข์ คือการค้นพบทางออกของชีวิตนั่นเอง การยอมรับว่าเรากำลังทรมานเป็นการรับรู้ว่าชีวิตเรากำลังเดินต่อไป

IMG_3933

เรามาเจอด่านทดสอบกำลังใจอีกครั้งในอีกหุบเขาหนึ่ง ประมาณ กม. 37 เราเห็นคนที่เดินออกจากหุบเขามาล้วนแล้วแต่มีใบหน้าไม่สู้ดี และเรารู้ว่าเราต้องเข้าไปเดินข้างในร่วมชั่วโมง เพียงเพื่อจะกลับมาที่เดิมตรงนี้อีกครั้ง คราวนี้ตุ๊เริ่มคุยกับเราซีเรียสมากขึ้น เป้าหมายที่จะสิ้นสุดการเดินทางของวันนี้ที่เวลาก่อนเที่ยงหมดไปแล้ว เราทะยอยโทรไปบอกกองเชียร์ให้ใช้เวลาท่องเที่ยวให้คุ้มค่า เพราะวันนี้คงไม่จบลงง่าย ๆ และยังคงอีกหลายชั่วโมงเราจึงจะกลับออกไปได้ ตุ๊เริ่มให้เหตุผลว่าเขาที่เราจะเข้าไปมันจะชัน และเหนื่อยมาก วันนี้เราได้พิสูจน์แล้ว ว่าเรามีใจที่สู้ เส้นทางมันโหดกว่าที่จะวิ่งได้ แล้วเราเองก็ไม่ได้วิ่ง ด้านในก็ไม่ได้มีจุดตรวจอะไร เราน่าจะเดินกลับกันที่ตรงนี้จะประหยัดเวลาไปได้เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ผมจำได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่ผมพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะตอนนี้กำลังใจผมดีขึ้นมาก ผมยอมรับแล้วว่าวันนี้จะไม่มีวันวิ่งได้อีก ผมรับรู้แล้วว่าวันนี้มันทรมาน และผมรู้แล้วว่าวันนี้จะสิ้นสุดลงในเวลาอีกสามถึงสี่ชั่วโมงข้างหน้า ผมพูดกับเพื่อน ๆ ว่า ถ้าเราเดินลัดในวันนี้ มันก็เหมือนกับการคอรับชั่นนั่นแหละ ทำไปอาจจะไม่มีใครรู้ ไม่มีใครจับได้ หรือคนที่รู้อาจจะไม่ได้ใส่ใจ แต่เรานี่แหละจะต้องอยู่กับวันนี้ไปตลอดชีวิตของเรา นี่เป็นครั้งเดียวที่ผมวกเข้าเรื่องการเมือง และผมคิดเช่นนั้นจริง ๆ ผมไม่ได้ใช้ชีวิตในวันนี้ หรือวันไหน ๆ เพื่อการยอมรับ หรือการแสดงออกเพื่อใคร ๆ ผมเดินทางในวันนี้ และในทุก ๆ วันในชีวิตเพื่อตัวของผมเอง และผมเองจะรู้เสมอว่าผมได้ทำอะไรลงไป แล้วเราก็เดินกระย่องกระแย่งเข้าไปในหุบเขานั้น เราเริ่มมองเห็นวิวสวย ๆ ในหุบเขา ความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะธรรมชาติ ถนนคอนกรีต บนยอดเขา ผ่ากลางสวนมะม่วง พืชสวนที่ขึ้นผิดที่ผิดถิ่น มองเห็นความอหังการ์ของมนุษย์ที่ตีเส้นสมมุติลงบนผิวโลกแล้วเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงสิทธิ์จอมปลอมเหนือเส้นสมมุติเหล่านั้น

เราลงมาจากเขาที่ควรจะทรมานที่สุดด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ผมตะโกนถามตลอดเวลาว่าเขานี้ชันที่สุดหรือยังเนี่ย ราวกับว่าชันกว่านี้มีอีกมั้ย ผมยังไม่ทรมานอย่างที่ผ่านมาเลยนะ ไม่ใช่แต่เพียงว่านี่จะเป็นหุบเขาสุดท้ายของวันนี้ CP 40k ตั้งอยู่เบี้องหน้า แต่เราออกมาพร้อมกับความรู้สึกน้อมรับถึงความต่ำต้อยด้อยค่าของมนุษย์ที่ต้องการครอบครองพื้นที่ใหญ่โต มากความความสามารถของตัวเองที่จะเดินได้รอบพื้นที่ผืนนั้น ความรู้สึกเริ่มต้นที่เห็นความสวยงามของวิว และอิจฉาบ้านหลังสวยตั้งขึ้นเพื่อชิงวิวที่สวยที่สุดบนยอดเขา กลายเป็นความเฉยชา ความรังเกียจในความเห็นแก่ตัวที่แย่งชิงสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นไว้เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว ทันใดนั้น ก็มีนักวิ่งวิ่งแซงเราไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือผู้นำของระยะ 100km ขณะที่เราเดินได้ 40km นักวิ่งคนนี้ทำระยะไปได้แล้ว 90km ตุ๊พยายามวิ่งไล่หลังไปได้พักใหญ่ ๆ ผมเริ่มเชื่อว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นเขา แต่แล้วก็พบว่าในที่สุดเขาก็มาหยุดรอเราอยู่ด้านหน้า แล้วบ่น ๆ ว่าตามไม่ทันเลยแม้แต่น้อย ช่างน่ามหัสจรรย์จริง ๆ ผมเริ่มคิดว่าเดี๋ยวเราคงโดนอีกหลาย ๆ คนตามมาทัน แต่ก็ไม่มีใครมาเสียที

หลังจากลงจากเขา ผมก็เริ่มวิ่งสลับเดินอีกครั้ง 1:1 วิ่งหนึ่งนาทีและเดินหนึ่งนาที เราแวะที่ CP 40k พักใหญ่ หลังจากนั้นก็เดินออกมาถ่ายรูปร่วมกันที่ระยะ 42km เพื่อรับรู้ว่าเวลาที่เหลือนี้ เป็นช่วงเวลาที่เราไม่เคยสัมผัส เพราะไม่มีใครเคยวิ่งเกินระยะมาราธอนมาก่อนในชีวิต แต่หารู้ไม่ว่า ณ เวลานี้เราเดินร่วมกันมากว่า 8 ชั่วโมงครึ่งแล้ว ผมเชื่อเหลือเกินว่า ไม่มีใครเคยเดินนานเท่านี้มาก่อนในชีวิตเช่นกัน ผมวิ่งสลับเดินและค่อย ๆ ทิ้งห่างเพื่อนทั้งสองออกมาช้า ๆ จากจุดนี้จะไม่มีเขาอีกแล้ว ค่อนข้างเป็นทางเรียบและเป็นถนนเสียส่วนใหญ่ สักพักโด่งก็ค่อย ๆ วิ่งมาทัน โด่งสามารถทำความเร็วได้มากกว่าผม ผมนั้นแม้ว่าจะอยู่ในท่าวิ่ง แต่ความเร็วไม่ได้ต่างจากเดินมากนัก หลังผมแทบจะใช้งานไม่ได้อยู่แล้ว ไม้เท้ายังต้องอยู่ในมือผมตลอดเวลา เพราะผมจำเป็นต้องใช้มันพยุงหลังของผมไว้ ในช่วงพักเดิน ผมกับโด่งค่อย ๆ ทิ้งห่างจากตุ๊ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเราก็มองไม่เห็นตุ๊อีก

IMG_3888

ที่ระยะ 44 กม. เหลือเพียง 6 km สุดท้าย แต่ด้วยความเร็วทรมานใจเช่นนี้ เรายังคงต้องอยู่บนท้องถนนกันอีกอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ผมเริ่มโทรไปบอกภรรยาชองผม คุยสารทุกสุกดิบ แฟนผมถามว่าจะถึงหรือยัง ผมก็เล่าให้ฟังเรื่องหลัง เรื่องที่วิ่งไม่ได้ และบอกว่าอย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมง วันนี้เริ่มต้นวันที่ตีสี่ ผมเริ่มวิ่งออกมาตั้งแต่ตีห้า ตอนนี้เวลาบ่ายสองโมงแล้ว อาการที่กินไปตอนเช้า มีขนมปังเล็กน้อย ระหว่างทางมีกล้วยนิดหน่อย แตงโมจำนวนมาก เจลอีกจำนวนนึง และอีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเส้นชัย ผมบอกภรรยากะเกณฑ์เวลา และนัดเวลาอาหารเย็นให้เร็วขึ้นเล็กน้อยเพราะคาดว่าหลังแข่งผมคงจะหลับอย่างรวดเร็ว ถึงจุดนี้ผมกับโด่งก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่วิ่งได้มากนัก การเดินเป็นระยะเวลาร่วมสิบชั่วโมงมันทำให้อ่อนล้าไม่ต่างจากการวิ่งเลย ขาของผมหนักอึ้ง ไม่รวมหลังที่เจ็บปวดจนบรรยายไม่ถูก แถมเจ็บแปลบ ๆ ที่มาเยือนเป็นระยะ ๆ เจ็บแบบเข่าอ่อนน้ำตากระเด็น ที่เขาว่ากัดฟันไม่ใช่เป็นเพียงคำเปรียบเปรย แต่เป็นความจำเป็นที่ผมต้องกัดฟันเอาไว้เป็นพัก ๆ เพื่อช่วยระงับความเจ็บปวด แผ่นยาตราเสือผมแปะใช้ไปหมดแล้วทั้งสองแผ่น ผมนึกถึงสเปรย์ฉีดที่ผมตัดสินใจทิ้งไว้ในโรงแรมในวินาทีสุดท้าย แต่ตอนนี้ผมเริ่มได้ยินเสียงของเส้นชัยมาแต่ไกลแล้ว นาฬิกาของผมบอกว่าเหลืออีกเพียง 2 กมเท่านั้น ผมแค่ต้องลุ้นว่า GPS ของผมคลาดเคลื่อนมากน้อยเท่าไร เส้นทางของผู้จัดแม่นยำแค่ไหน และเส้นทางที่เราวิ่งหลงนั้นมากน้อยเท่าไร ตอนนี้ 100-200  เมตรเป็นระยะทางที่ไกลกว่าที่ใจจะสามารถปัดเศษได้

IMG_3890

2 km สุดท้ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าผมกับโด่งจะยังสามารถ วิ่งเดินสลับอย่างละหนึ่งนาทีมาได้โดยตลอด นาฬิกาของผมบอกระยะ 50Km ไปแล้ว เหลือแต่ว่าระยะทางที่เหลือนั้นมันไกลเท่าไร ผมเห็นเส้นชัยแล้ว เวลาตอนนี้นักวิ่งแทบไม่เหลือแล้ว คนเชียร์ก็แทบไม่มีเหลือแล้ว เมื่อเข้าโค้งสุดท้ายผมก็บอกโด่งว่าเราน่าจะวิ่งไปตลอดนะ ไม่มีเดินอีกแล้ว แล้วทั้งสองก็กัดฟันกันเข้าไป เส้นชัยมันดูสวยงาม แต่ก็ไม่ได้สวยงามมากว่าเส้นชัยอื่น ๆ ที่ผมเคยเข้ามาแม้ว่าวันนี้ผมจะใช้เวลาไปถึงสิบชั่วโมงเต็ม ๆ กับระยะทาง 50km สิ่งแรกที่ผมวิ่งเข้าหาก็เป็นเต้นนวดและก็ไม่ผิดหวัง บริการนวดที่ครบสูตร ยาวนานจนในที่สุดตุ๊ก็วิ่งเข้าเส้นมานวดอยู่ในเตียงข้าง ๆ กัน ผมกับโด่งนวดเสร็จก่อนตุ๊เล็กน้อย ผมบอกลาตุ๊ เพราะพรุ่งนี้เราต้องเจอกันอีกครั้งสำหรับ เขาใหญ่ทรมานบันเทิง วันที่สอง

ผมกลับบ้านไปพบกับครอบครัว พาลูก ๆ ลงเล่นน้ำนิดหน่อยหลังจากที่อาบน้ำล้างเนื้อตัวเรียบร้อยแล้ว เย็นนั้นเราออกไปกินข้างเร็วตามที่ผมโทรมาจัดแจงไว้แล้ว อาหารเย็นวันนั้นเราสั่งมาแบบเต็มสูบ หลังจากอาการเจ็บหลังในช่วง 10-20km การเดิน 30km ให้หลังแม้ว่าจะมีแปลบ ๆ บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อสิ้นวันผมยังคงเดินเหิญได้ปกติ ก้มได้เล็กน้อยเพียงพอสำหรับการปั่นจักรยานในวันต่อไป อำนวยโทรมาถามไถ่เล็กน้อยว่าต้องการอะไรหรือไม่ ผมขอให้เขาแกเตอเรตให้ผมสักสี่ขวด คืนนั้นผมเข้านอนตามปกติ ไม่ได้เพลียหลับเร็วอย่างที่คิดไว้ ไม่ได้เหนื่อยล้าอย่างที่รู้สึกทรมาน เป็นความรู้สึกแปลก ๆ ผมรู้สึกแข็งแรงผิดปกติ ผมตั้งนาฬิกาปลุกที่ตีห้าครึ่งและเข้านอนประมาณเที่ยงคืน สำหรับวันที่ยาวนานนี้

ปัจจัยที่สี่ : สุขภาพดีไม่ต้องมียารักษาโรค

มนุษย์เราใช้ชีวิตเสี่ยงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตที่ว่าด้วยปัจจัยสี่ เราได้ถ่ายโอนให้เป็นหน้าที่ของมืออาชีพ ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพที่ไม่ได้มีความจำเป็นใด ๆ เลยในการดำรงชีวิต นานเข้าทักษะเหล่านั้นค่อย ๆ เลือนหายไป ปัจจัยที่สี่ที่ว่าด้วยยารักษาโรค ถูกมองเป็นการเข้าถึง เงินที่เพียงพอ โรงพยาบาลที่เพียงพอ หมอที่เพียงพอ มีน้อยคนนักที่จะพูดถึงสุขภาพที่ดีเพียงพอ การดูแลรักษาตัวเองที่ดีพอ ความรู้ต่าง ๆ ในการดูแลตัวเองที่เพียงพอ ตั้งแต่เด็กจนโต เมื่อเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย เราพึ่งพายา หนักขึ้นเราก็พึ่งหมอ และคิดว่าชีวิตเรามีมืออาชีพที่คอยดูแลอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเราอีกต่อไป ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ หน้าที่ได้ถูกแบ่งกันไปแล้ว และนี่เป็นการดำรงชีวิตอยู่ในความเสี่ยงอย่างมหันต์

มนุษย์เราควรมีความรู้ในการดูแลสุขภาพตัวเอง มีความรู้ในการรักษาตัวเอง มีทักษะในการดำรงชีพอย่างมีสุขภาพ มีทักษะในการเข้าใจและรักษาตัวเองได้อย่างเหมาะสม สิ่งเหล่านี้เราทำได้ แต่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการฝึกฝน หมอที่ดีจะต้องมีทักษะในการซักถามอาการผู้ป่วย แต่ผู้ป่วยที่ดีจะรู้ลึกซื้งถึงอาการ ความรู้สึกและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ดีที่สุด มากกว่าหมอที่มีทักษะการถามที่ดีที่สุด ในขณะที่ผู้ป่วยเองก็ควรจำทำการเรียนรู้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของโรค สาเหตุ อาการ การพัฒนาของโรค ความเสี่ยง การติดต่อ และอื่น ๆ เท่าที่เราจะทำได้ เมื่อมีโอกาสได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เมื่อได้รับการจ่ายยาเราก็ควรจะรู้ชื่อยาทุกประเภทที่ได้ และควรที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะทำความเข้าใจถึงกระบวนการทำงานของยาแต่ละชนิด เพื่อทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังจะกินเข้าไปนั้นมีความเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยเรามากน้อยเพียงไร เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เป็นนิสัย เราก็จะมีความรู้พื้นฐานในการดูแลตัวเองมากกว่า 80% ของโรคภัยไข้เจ็บที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา รวมไปจนถึงยาประเภทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

ปัจจุบันผมแทบจะไม่กินยาเลยแม้แต่ขนานเดียว ผมไปหาหมอเพียงบางครั้งเท่านั้น เมื่อไม่แน่ใจ หรือต้องการผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยโรค แม้ว่าเมื่อมั่นใจเรื่องโรคแล้วผมอาจจะไม่ใช้ยาที่หมอให้เลยแม้แต่เม็ดเดียว การฝึกฝนนี้ขยายวงไปสู่คนภายในครอบครัวของผมเองด้วย ผมไม่ได้ต้องการชวนให้ผู้อ่านมาปฏิบัติเอาเยี่ยงอย่าง แม้ว่าผมจะไม่ไปพบหมอ แต่ในรอบตัวผมมีหมอผู้เชี่ยวชาญแทบทุกสาขาที่ผมสามารถยกหูคุยได้ภายในไม่กี่นาที การปฏิบัติเช่นนี้ผมจึงไม่คิดว่าเป็นการใช้ชีวิตที่เสี่ยงมากนัก แต่ผมทำเพื่ออะไร

ผมต้องการ “ทักษะ” ความสามารถที่จะสังเกตุ อาการ สิ่งปกติในร่างกายของผม ทำความเข้าใจโรคร้าย การบาดเจ็บ และเรื่องราวอื่น ๆ ทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นกับผมและครอบครัวให้มากที่สุด โดยที่เสี่ยงน้อยที่สุด ผมต้องการให้ร่างกายของผมและคนในครอบครัวมีโอกาสฝึกซ้อมเพื่อที่จะต่อสู้กับภยันต์อันตรายทั้งหมดที่จะเกิดกับสุขภาพร่างกายของผมเองและคนในครอบครัว ก่อนที่จะต้องไปถึงมือผู้เชี่ยวชาญ ผมได้อ่านบทความของคุณพ่อที่เสียลูกไปกับโรคมือเท้าปากที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ผมเข้าใจในความรู้สึกของพ่อที่เสียลูก เพราะผมเองก็เคยเสียลูกไปเช่นเดียวกัน แต่ผมเห็นความบกพร่องของวิธีปฏิบัติ ดูแลรักษาของพ่อคนนี้เช่นเดียวกัน และผมจะไม่มีวันที่จะเดินซ้ำรอยครอบครัวนี้เป็นอันขาด ยกตัวอย่างเช่นให้กินยาแก้ไขอย่างเคร่งครัดทุก 4 ชั่วโมงและบังคับให้ลูกไปโรงเรียนพร้อมกับยา เป็นต้น

เมื่อสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ผมเองก็เคยมีนิสัยเคยชินกับการกินยาแก้ปวดลดไข้ กินไว้ กินดัก กินแก้ ด้วยความที่รู้สึกว่าต้องเรียนให้ได้ ทำงานให้ได้ไม่ว่าจะมีสภาพเป็นอย่างไรก็ตาม ทำแล้วมันเท่ห์ ผมเริ่มมาดูแลตัวเองเมื่อเกิดอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าขณะหัดวิ่งระยะไกล (ต่ำกว่า 10 กิโล) ด้วยการอ่านหนังสือ เพียงเพราะผมไม่รู้ว่าต้องไปหาหมอประเภทใดเมื่อเกิดอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย โชคดีที่ผมได้หนังสือดี เมื่อผมสามารถรักษาตัวเองให้หายได้เป็นปลิดทิ้ง ผมจึงเข้าใจเอาเองว่ามีหลากหลายอาการเจ็บป่วย บาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับเรานั้นไม่ได้ซับซ้อนจนเกินไป และไม่ได้จำเป็นต้องถึงผู้เชี่ยวชาญเสมอไป และถ้าหากเราหาความรู้เพิ่มเรื่อย ๆ เราก็จะสามารถดูแลตัวเองได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

ผมมีโอกาสได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าค่ารักษาพยาบาลที่ต่างประเทศแพงมาก ผมจึงตั้งหน้าตั้งตาออกกำลังกายอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะผมเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าช่วงใดที่ผมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอผมจะไม่ค่อยป่วย ถ้าไม่เช่นนั้นผมจะป่วยเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่ายมาก ๆ เนื่องจากผมถูกตัดต่อมทอลซิลและอะไรอื่น ๆ บริเวณลำคอไปหมดแล้วตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่มีปราการด่านแรกที่จะจัดการกับเขื้อโรคที่เข้าผ่านปากและจมูกของผม ผมแทบจะไม่เคยได้ทานยาเลยตลอดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเดินทางไปต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน ยกเว้นยาโรคกระเพาะอาหาร เนื่องจากผมมี ulsers ในกระเพาะและในบางครั้งเมื่อเกิดความเครียดจนเกินควบคุม ผมจำเป็นต้องพึ่งยาที่ระงับการหลั่งกรด (ผมเคยต้องซื้อยานี้ทั้งหมดสองครั้งในชีวิตผมครั้งละประมาณ 2-3 วัน) นอกนั้นก็ทนเอาไปตามอาการ โชคดีที่ผมไม่เป็นโรคติดเชื้ออื่น ๆ ประเภทแบคทีเรียเลย เป็นเพียงเพราะผมออกกำลังกายสม่ำเสมอและก็โชคดี ผมมาถือปฏิบัติในการที่จะให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง ใช้การสังเกตุ ใส่ใจในตนเองเพื่อเป็นการดูแลรักษาตนเองอย่างเคร่งครัดมากขึ้น ภายหลังจากอ่านหนังสือชื่อ Spontaneous Healing ของหมอ Andrew Weil เนื่องจากผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับแนวคิดของเขา

ผมเล่นกีฬาค่อนข้างหนักและมีอาการบาดเจ็บประจำตัวอยู่หนึ่งอย่างคือ เจ็บกล้ามเนื้อน่อง เป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากเมื่อผมไปพบหมอ และเปลี่ยนแนวความคิดของผม มหาวิทยาลัยของผมนั้นเป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย จึงมีนักเรียนแพทย์มาวินิจฉัยเมื่อผมตัดสินใจไปคลินิคของมหาวิทยาลัย ผมได้เรียนรู้เป็นอย่างมากเมื่อ อาจารย์แพทย์ได้สอนนักศึกษาแพทย์ผู้นั้น ว่าอาการของผมน่าจะเกิดจากอาการกล้ามเนื้ออักเสบที่เป็นผลจากตะคริว (คงคาดว่าจากตำแหน่งของกล้ามเนื้อที่เจ็บ) แล้วมีการวิเคราะห์ต่อไปอีกว่าสาเหตุของการเกิดตะคริวคืออะไร ในวันนั้นผมได้เรียนรู้การแพทย์ทางกีฬาเป็นอย่างมาก และไม่เคยเห็นแพทย์คนไทยคนไหนให้ความสนใจอย่างเช่นวันนั้นอีก (ที่ผมเจอส่วนใหญ่ก็บอกแค่ให้เลิกเล่นกีฬา ตัดปัญหาแบบง่าย ๆ ) หลังจากนั้นผมจึงใช้ความเป็นอาชีพจากแพทย์ทุกครั้งเพื่อศึกษาถึงโรคร้าย และอาการบาดเจ็บใหม่ ๆ ที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน

ผมเป็นคนหน้าอกบุ๋ม มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งทำให้มีผลต่อตำแหน่งของหัวใจของผม และเป็นปัญหาเมื่อผมออกกำลังกายหนัก ๆ บางประเภท (จริง ๆ แล้วทุกประเภทที่ผมทำอยู่ คือ ว่ายน้ำ จักรยาน วิ่ง) ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมหยุดออกกำลังกายไปเพื่อเตรียมสอบ Qualify แล้วกลับมาออกกำลังกายใหม่ซึ่งตรงกับเวลาในช่วงปลายฤดูหนาว ผมเกิดอาการเจ็บกล้ามเนื้อหน้าอก จึงไปปรึกษาแพทย์ ผมเคยเป็นคล้าย ๆ อย่างนี้มาแล้วที่เมืองไทยแต่หมอให้ยาแก้เครียดมากิน (ซึ่งผมก็ไม่ได้กิน) แต่ผมเริ่มส่งสัยว่าผมมีอาการผิดปกติของหัวใจหรือไม่ เพราะเท่าที่เขาว่ากันอาการเจ็บหน้าอกไม่ควรจะเกิดขึ้นไม่ว่ากับใครก็ตาม (แม้ว่ากับผมมันเป็นเรื่องปกติพอสมควร) แต่ ณ เวลานี้ทัศนคติผมเปลี่ยนไป ผมต้องการเรียนรู้ เมื่อไปปรึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัย ก็ปรากฎว่าสนุกมาก ๆ ครับ หมอจับผมทดสอบทุกอย่าง EKG Stress Test วิ่งบนสายพาน  X-ray เยอะแยะมากมาย สิ่งผิดปกติแรกที่หมอสังเกตุ (เขาไม่ได้บ่นเรื่องอกบุ๋ม) คือ นักเรียนแพทย์แทบไม่สามารถ ส่องเห็นลิ้นหัวใจผมได้เลย ใช้เวลาอยู่นานมาก จนต้องให้อาจารย์แพทย์มาทำให้ และต้องกดแรงและเจ็บมาก อาจารย์บ่นนิด ๆ หน่อย ๆ สรุปว่าหมอวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะอกบุ๋ม หัวใจอยู่ผิดที่นิดหน่อย ทำให้บางครั้งทำงานหนัก หรือกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกเนื่องจากกระดูกอยู่ผิดที่ผิดทางการทำงานก็ไม่ค่อยปกติมากนักจึงเกิดอาการเจ็บของกล้ามเนื้อได้

หลังจากนั้นไม่นาน เกิดอุบัติเหตุระหว่างยกน้ำหนักท่า Squat แล้วทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังของผมเคลื่อนมาทับเส้นประสาท ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บอย่างรุนแรง และเป็นอีกครั้งที่ผมต้องใช้ยาระงับปวดที่รุนแรงมาก ๆ เป็นครั้งแรก การบาดเจ็บครั้งนั้นทำให้ชิ้นส่วนของร่างกายของผมตรงส่วนนั้นไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย จะมีอาการปวดหลังเป็น ๆ หาย ๆ อยู่ตลอดเวลา บางครั้งหนัก ๆ ก็เจ็บมากจนต้องใช้ยาแก้ปวด (ผมเคยใช้อีกหนึ่งครั้งหลังจากป่วยครั้งแรก) บางครั้งก็เจ็บมากขนาดเดินไม่ได้ หรืออาจจะเดินตัวแข็งหันไปมาไม่ได้ บางครั้งต้องพึ่งยาคลายกล้ามเนื้อ แต่ผมก็ยังสามารถออกกำลังกายต่อไป แต่ในช่วงนั้นผมลดปริมาณการออกกำลังกายลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากใกล้สำเร็จการศึกษา ผมเป็นบ่อยขึ้นหลังจากที่กลับมาเมืองไทย การเปลี่ยนสถานที่ การเริ่มทำงาน ทำให้ผมต้องเริ่มปรับตัวกับหน้าที่การงานใหม่ และไม่ได้ออกกำลังกายเป็นเรื่องเป็นราวเลย เมื่อกลับมาออกกำลังกายกลับพบว่าอาการเจ็บมันรุนแรงถึงขนาดไม่สามารถวิ่งได้ ผมจึงตัดสินใจหยุดกีฬาไตรกีฬาที่ผมชอบโดยสิ้นเชิง

ผมมีอาการปวดบ้าง เจ็บบ้าง เดินไม่ได้บ้าง จนในท้ายที่สุดผล x-ray ยืนยันว่าผมเริ่มมีอาการของโรคกระดูกเสื่อม ซึ่งมีแต่จะเสื่อมลงเรื่อย ๆ หมอแนะนำให้ผมหยุดทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งหมด ซึ่งในเวลานั้นผมเลิกกีฬาวิ่ง หันมาปีนเขา และยกน้ำหนัก เพราะรู้สึกว่าไม่มีการกระแทก แต่หมอแนะนำให้ว่ายน้ำ ผมก็พยายามถามถึงกีฬายกน้ำหนัก ปีนเขา ซึ่งหมอไม่แนะนำเลย ผมถามเรื่องวิ่งก็ยิ่งถูกห้ามเข้าไปใหญ่ หมอให้ว่ายน้ำสัปดาห์ละสี่วัน เพื่อเป็นการออกกำลังกาย (ผมรู้สึกเหมือนใบสั่งกายภาพบำบัด) ผมไม่เคยทำใจได้เลย แม้ว่าผมจะมีพื้นฐานการออกกำลังกายคือว่ายน้ำ แต่ด้วยทัศนคติว่าการว่ายน้ำในเวลานี้คือกายภาพบำบัด และหนทางเดียวที่ผมเลือกไม่ได้ ในที่สุดผมก็ไม่เคยได้ไปว่ายน้ำตามที่หมอสั่งเลย จนกระทั่งผมได้ไปพักผ่อนที่ภูเก็ตในช่วงที่มีการแข่งขันไตรกีฬา กีฬาที่ผมโปรดปรานที่สุด เพราะผมต้องการไปชมการแข่งขัน ผมดูการแข่งขันอย่างตั้งใจ และมีแรงบันดาลอีกครั้ง แล้วตั้งใจว่าในปีหน้าผมต้องกลับมาเป็นผู้แข่งขันเองให้ได้ แล้วในที่สุดผมก็กลับมาแข่งขันประเภททีม โดยผมทำหน้าที่ปั่นจักรยาน เมื่อจบการแข่งขันผมบอกกับตัวเองว่าผมต้องกลับมาอีกครั้งแล้วทำให้ครบทุกอย่างให้ได้

ผมจึงเร่ิมต้นซ้อมวิ่งเป็นครั้งแรกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา (2554) ผมค้นคว้า และทดลองการเปลี่ยนท่าวิ่ง ใช้รองเท้ามินิมัลลิส โดยไม่ปรึกษาแพทย์เลย เพราะผมรู้ว่าหมอซึ่งเห็นว่าการวิ่งมีการกระแทกสูงและอันตรายต่อหลัง มีเพียงกลุ่มนักวิชาการ แพทย์ และคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่เชื่อว่าการหันมาวิ่งด้วยปลายเท้า ใช้รองเท้าที่บางที่สุด หรือใช้เท้าเปล่าจะป้องกันปัญหานี้ได้ ด้วยทักษะการฟังตัวเองของผมที่ฝึกมาหลายสิบปีมาเป็นประโยชน์กับผมมากในช่วงที่หัดใหม่นี้ ผมใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจากเริ่มวิ่งด้วยเท้าเปล่า ประมาณ 15 นาทีจนร่วมแข่งรายการกรุงเทพมาราธอนในระยะ 21.1 กม. และจากวันนั้นถึงวันนี้ ผมก็ได้สัมผัสระยะทาง 42.195 กม. เป็นครั้งแรกในชีวิตของผม

ในกีฬาวิ่งผมได้ใช้ทักษะในการฟังร่างกายตัวเองมากถึงมากที่สุด เพราะทุกก้าวที่เปลี่ยนไปมีความรู้สึกใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ ผมได้สังเกตุ ติดตามผล เฝ้ามองอาการเจ็บ ปวด เมื่อย ไม่น่าเชื่อว่าผมรู้สึกว่าร่างกายผมแข็งแรงยิ่งกว่าเมื่อก่อนที่จะเป็นโรคกระดูกเสื่อมเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะกีฬาจักรยานที่ทำให้ผมต้องก้มเป็นระยะเวลานาน ๆ จนบางครั้งอาการปวดหลังผมกำเริบ ผมคงลืมไปแล้วว่าผมเป็นโรคกระดูกเสื่อม

ในตอนนี้ผมพยายามปรับปรุงท่าปั่นจักรยานของผม ให้เข้ากับความยืดหยุ่นของตัวผมที่เหลือน้อยเต็มทน เนื่องจากกล้ามเนื้อหลังหลายส่วน รวมไปถึงกล้ามเนื้อต้นขาที่ต้องทำงานผิดปกติ รับแรงแทนกระดูก และมีความตึงเครียดค่อนข้างสูง ในขณะเดียวกันผมก็พยายามหาวิธีที่จะช่วยยืด หรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อในส่วนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มจริง ๆ จัง ๆ เสียที ผมคาดว่าผมอยากใช้โยคะเข้ามาช่วย ถ้าผมได้เริ่มร่างกายผมก็น่าจะเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ผมทำไปบนความรู้สึกของร่างกายของผมเอง กับความรู้ที่มีมากมายบนอินเตอร์เนท หนังสือต่าง ๆ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตยังคงเป็นสิ่งมหัสจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างมา ความสามารถในการปรับตัว ซ่อมแซมตัวเอง มีมากมาย เพียงแต่ว่าเราต้องไม่ทิ้งมันไป ต้องฝึกฝน เข้าใจ และใช้มันอย่างถูกวิธี ทักษะนี้เป็นสิ่งสำคัญและผมเชื่อว่ามันจะเป็นบันไดไปสู่สุขภาพที่ดี เป็นจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของปัจจัยที่สี่ คือ ความไม่ต้องการยารักษาโรคใด ๆ ทั้งสิ้น

ผมพยายามเขียนบทความนี้ให้กับบุคคลหนึ่งที่มีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า และได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้เลิกเล่นทุกอย่าง (ตั้งแต่อายุยังน้อย) ซึ่งผมเองไม่มีคำแนะนำดี ๆ ใด ๆ ให้เลย แต่ผมมีความคิดของผมเองว่า ถ้าผมต้องทำตัวเหมือนคนแก่ง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่สามารถเล่นกีฬาใด ๆ ได้เลยนอกจากว่ายน้ำตามที่หมอผมสั่ง แล้วผมเป็นเด็กดีทำตามหมอเพราะกลัวว่าในอนาคตผมจะกลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ผมสู้ลองทำตัวเป็นคนมีขาไปก่อนดีกว่าแล้วเมื่อไรง่อยเปลี้ยเสียขาจริง ๆ แล้วทำตามที่หมอว่าคงไม่สาย ผมว่าคงกำไรชีวิตสำหรับผม ถ้าจะให้แนะนำกันจริง ๆ ผมคงพูดได้แต่ว่า “Just do it and listen to yourself” ครับ

40K at 40 in Vibram : Pattaya Marathon

ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2555 ที่่ผ่านมาผมได้มีโอกาสฉลองวันเกิดครบรอบ 40 ปี (12 วัน) ของผมด้วยการวิ่งมาราธอนแรกในชีวิตในรายการพัทยามาราธอนชิงถ้วยพระราชทาน หลังจากที่หยุดออกกำลังกายมากว่า 5 ปี เนื่องจากอาการบาดเจ็บหลัง พ่วงด้วยอาการเริ่มต้นของโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ใบสั่งยาของหมอที่ให้เลิกทุกอย่างเหลือแต่ว่ายน้ำทำให้ผมไม่ได้ออกกำลังกายอีกเลยหลังจากวันที่พบหมอ แต่ด้วยสุขภาพที่ดูเหมือนจะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ผมจึงตัดสินใจที่จะรักษาตัวเองด้วยการออกกำลังกายอีกครั้งและทิ้งคำแนะนำของหมอไว้ที่โรงพยาบาล

ผมค้นหาเพื่อหาข้อมูลมากมายที่จะเชื่อมโยงการวิ่งกับอาการปวดหลัง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามีข้อมูลมากมายที่แสดงถึงความเกี่ยวเนื่องของการปวดหลังและการวิ่ง แต่สิ่งที่ผมสนใจคือสำหรับคนที่ปวดหลังจะกลับมาวิ่งได้อย่างไร แล้วก็มาพบบทความในวารสารเนเจอร์ที่เกี่ยวกับแรงกระแทกที่เกิดจากการวิ่งเปรียบเทียบกันระหว่างการวิ่งเท้าเปล่า (ลงด้วยกลาง-ปลายเท้า) และรองเท้าวิ่ง (ลงด้วยส้นเท้า) การศึกษาพบว่าการลงส้นเท้าก่อให้เกิดแรงกระแทกสูงกว่าการลงด้วยกลาง-ปลายเท้า เมื่อมีการสอบถาม กูเกิ้ล เพิ่มเติมก็พบ รองเท้าห้านิ้วไวแบรม ที่โฆษณาว่ามีส่วนช่วยให้การวิ่งเป็นไปในรูปแบบการลงด้วยปลายเท้า ซึ่งในเวลานั้นมันคือสิ่งที่เรียกว่า minimalist shoes ที่กำลังได้รับความสนใจอยากล้นหลามในต่างประเทศ ผมจึงตัดสินใจสั่งซื้อในทันทีและเริ่มออกวิ่งด้วยรองเท้าแตะเพื่อทดสอบทฤษฎีดังกล่าวระหว่างที่ต้องรอรองเท้าที่จะต้องเดินทางมาจากอเมริกา

ผมลงแข่งขันระยะฮาร์ฟมาราธอนทันที่ภายหลังการซ้อมประมาณสองเดือนในรายการกรุงเทพมาราธอน ซึ่งผ่านได้ได้ด้วยดี แม้ว่าจะรู้สึกถึงความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นจากการใช้กล้ามเนื้อน่องมากกว่าท่าวิ่งที่ผมคุ้นเคย ผมร่วมแข่งรายการอื่น ๆ อีกหลายครั้งและในที่สุดตัดสินใจที่จะทดสอบทฤษฎีนี้ให้ถึงที่สุดก่อนที่จะถลำลงไปลึกกว่านี้แล้วเกิดผลเสียระยะยาวต่อช่วงล่าง (หลังและขา) ของผมทั้งหมด ผมคิดว่าระยะมาราธอนน่าจะเป็นตัวทดสอบที่ดีที่จะบอกถึงอันตรายของท่าวิ่งใหม่และรองเท้าในรูปแบบที่ไม่มีการรองรับเลย เมื่อกล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างกายอ่อนล้า เมื่อระยะทางมันสูงเกินกว่าที่จะดัดจริตท่าวิ่ง เราจะมีเวลาช่วงใหญ่ ๆ ในการเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ กับร่างกายของเรา

ในเวลานั้นผมเหลือเวลาในการซ้อมอีกเพียง 2 เดือนและย่างเข้าอายุ 40 ปีพอดี คิดดูแล้วมันช่างเหมาะเจาะจริง ๆ ผมเริ่มประกาศให้เพื่อน ๆ รับรู้ สร้างแรงกดดันไม่ให้ตัวเองหันหลังกลับ เมื่อรวบรวมความกล้าแล้วผมจึงเพิ่มระยะการซ้อมของผมในทันที 1 เดือนผ่านไประยะฮาร์ฟมาราธอนก็เริ่มเป็นระยะทางวิ่งยาวที่ไม่สร้างความกังวลให้ผมอีกต่อไป และเมื่อระยะเวลาเหลือเพียง 1 เดือน ผมจึงสมัครเข้าร่วมรายการ การซ้อม การแข่งขันครั้งนี้ จะเป็นดัชนีวัดที่ดีว่าการวิ่งด้วย minimalist shoes จะไม่ก่อผลเสียต่อผมในระยะยาวตามที่ตั้งสมมุติฐานเอาไว้ข้างต้น เนื่องจากระยะเวลาการซ้อมที่สั้น มาราธอนครั้งแรกในชีวิต อะไรที่เลวร้ายถ้ามันจะเกิด ก็จะแสดงตัวในคราวนี้อย่างแน่นอน

ผมเดินทางไปกรุงเทพฯ ล่วงหน้า 3 วันเพื่อทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะเดินทางไปพัทยาล่วงหน้า 1 วันเพื่อลดความเครียดจากการเดินทาง เพียงหนึ่งวันก่อนเดินทางไปพัทยาก็ถูกขโมยขึ้นบ้านสูญเสียไปเกือบครึ่งล้าน แต่ผมลั่นวาจากับเจ้าหัวขโมยผ่านทาง Facebook ว่าสิ่งของต่าง ๆ เอาไปได้แต่สุขภาพที่ดีของผมไม่มีใครเอาไปได้ และไปเตรียมตัวที่พัทยาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บรรยากาศก่อนการแข่งขันดูน่าตื่นเต้น กระบวนการลงทะเบียนรับเบอร์วิ่ง เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมืออาชีพตามที่หลาย ๆ คนได้ชมกันไว้ แม้ว่าหน้าตาของเวปดูไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย ผมทานอาหารเย็นเต็มที่ และไปซื้อของเตรียมเพื่อเป็นอาหารเช้า ผมกังวลเรื่องการเตรียมอาหารสำหรับมาราธอนแรกของผมเป็นที่สุด อาหารเย็นของผมเป็นสปาเกตตี้ชามใหญ่พร้อมกับแซนวิชก้อนโต ที่ทานแล้วไม่หมดจนต้องเหลือไว้เป็นอาหารเช้า

อาหารเช้าก็เตรียมกล้วยและนมถั่วเหลืองเพ่ิมเติม ในขณะที่เสบียงระหว่างวิ่งผมจัด Power Gel สองถุง และลูกพรุนไปอีก 10 เม็ดหลังจากพบว่าลูกพรุน 5 เม็ดให้พลังงานเทียบเท่า Power Gel 1 ถุง ผมพยายามรีบนอนให้ได้ก่อนสามทุ่มเพราะต้องตื่นมากินอาหารเช้าประมาณตีสองครึ่งเพื่อทิ้งระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงสำหรับการย่อยอาหารทันพอดีเวลาออกตัวตีสี่ครึ่ง (แต่ก็เสียว ๆ ว่าแซนวิชชิ้นโตที่เหลือจากมื้อเย็นอาจจะย่อยยากหน่อย) เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องนอนไม่หลับผมจึงจัดให้เด็ก ๆ ไปนอนกับแม่ ๆ และพ่อ ๆ คือผมและโด่ง ที่มาวิ่งฮาร์ฟมาราธอนแรกของเขา นอนห้องเดียวกัน ผมหลับอย่างสนิทในขณะที่โด่งบ่นเรื่องเสียงเปิดปิดไฟที่ดังทั้งคืนทำให้เขานอนไม่ค่อยหลับ แต่เราทั้งสองคนก็รีบจัดการกับอาหารเช้า เพื่อที่จะได้มีระยะเวลาในการย่อยเพียงพอ

เราค่อย ๆ วิ่งเหยาะ ๆ ไปเป็นระยะทางประมาณ 1.5 Km เพื่อไปพบกับตุ้เพื่อนร่วมวิ่งมาราธอนกับผม (ตุ้วิ่งมาราธอนที่สองในรายการนี้) เริ่มสตาร์ทผมกับตุ๊วิ่งคู่กันไปด้วยความเร็วค่อนข้างดี สิบกิโลแรก 55 นาที และสิบกิโลที่สอง 58 นาที แม้ว่าในช่วงแรก ๆ ผมมีอาการอึดอัดและจุกเสียดเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะแซนวิชที่มีทั้งชีสและแฮมก้อนโต ผมคุยเล่น ๆ กันตุ๊ว่าถ้าเราคงความเร็วประมาณนี้ได้เราน่าจะทำเวลาประมาณสี่ชั่วโมงต้น ๆ ได้อย่างสบาย ๆ แต่หลังจากนั้นตุ๊ที่เพิ่งหายจากไข้ ซึ่งไอแค๊ก ๆ มาตลอดยี่สิบกิโล ก็เริ่มมีอาการเจ็บข้อเท้าและค่อย ๆ ชลอความเร็วลงปล่อยให้ผมล่วงหน้าไปก่อน ผมเริ่มกังวลเพราะช่วงเวลาต่อจากนี้เป็นระยะทางที่ผมเองไม่เคยสัมผัสมาก่อน ผมซ้อมวิ่งยาวที่สุดเพียง 25km เท่านั้น และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ช่วงระยะทาง 24-30km เป็นช่วงระยะทางแรกที่ผมต้องขุดลงไปหากำลังใจจากข้างใน นี่เป็นระยะที่ผ่านการกลับตัวมาแล้ว ผมจำตำแหน่งของป้ายบอกระยะ 24, 26, 28, และ 30 ​km ได้ดี และผมค่อย ๆ เตรียมใจในการก้าวขาไปทีละสองกิโลเมตร เมื่อไม่มีเพื่อนว่ิงเวลาของผมตกลงไปอย่างมาก ดูเหมือนว่าแต่ละระยะสองกิโลมันผ่านไปอย่างเชื่องช้า สิบกิโลที่สาม ผมใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมงกับอีก 10 นาที เวลาที่เตรียมเก็บไว้หายหมดไปอย่างรวดเร็ว ณ เวลานี้ถ้าต้องการสี่ชั่วโมงต้น ๆ ก็ต้องคงความเร็วเอาไว้ให้ได้ ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว

โชคดีที่ระยะสามสิบกิโลเมตร เป็นจุดที่ผมมาร์คไว้ในใจ เป็นจุดหมายทางจิตวิทยาที่บ่งบอกถึงการก้าวข้ามผ่านสู่เป้าหมายที่ใกล้เข้ามาทุกที จิดใจผมดีขึ้นเล็กน้อย ผมผ่านการทดสอบมาได้ 3/4 ของเส้นทางแล้ว แม้ว่าร่างกายตอนนี้เริ่มไม่ค่อยอยากจะเร่งความเร็วอีกต่อไป ผมพยายามกัดฟันวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ เพราะไม่อยากที่จะให้การวิ่งมาราธอนแรกของผมกลายเป็นเดินมาราธอน ผมแบ่งเสบียงอาหารของผมเป็นระยะ ๆ ซึ่ง Power Gel ทั้ง 2 ถุงนั้นผมใช้ไปในยี่สิบกิโลแรกเรียบร้อยแล้ว ในระยะสามสิบกิโลนี้ผมเริ่มใช้พลังลูกพรุน ซึ่งก็ไม่น่าผิดหวังมากนัก ผมยังพอมีแรงไปต่อแต่ทันทีที่ผมแตะระยะทาง 34 กิโลเมตร ผมก็เกิดอาการเจ็บแปลบขึ้นที่ต้นคอ ผมรีบสำรวจอาการอื่น ๆ ของร่างกายทันที จุดสำคัญต่าง ๆ ที่เคยบาดเจ็บ ไล่ไปตั้งแต่หลังส่วนล่างที่มีอาการกระดูกเสื่อม ข้อเข่าที่เคยมีอาการเล็กน้อยระหว่างการแข่งขันกรุงเทพฯมาราธอนเมื่อต้นปี ข้อเท้าที่ออกอาการในระยะกิโลเมตรสุดท้ายของการแข่งขันสมุยไตรกีฬา และฝ่าเท้าที่มีอาการเจ็บเล็กน้อยระหว่างการซ้อม

ระหว่างการไล่ตามจุดต่าง ๆ ก็ทำให้ผมตระหนักว่า นี่เราอยู่ที่ระยะประมาณ 35 กิโลเมตรเข้าไปแล้ว แม้ว่าความเร็วผมจะตกลงจากต่ำกว่า 6 นาทีต่อกิโลเมตรกลายไปเป็น 8 นาทีต่อกิโลเมตรมาได้สักพักแล้ว แต่ยังไม่มีอาการเจ็บเล็กน้อยอื่น ๆ ให้เห็นเลย ซึ่งแสดงว่าการวิ่งปลายเท้าด้วยไวแบรม ไม่ใช่เพียงแต่ทำให้ผมกลับมาวิ่งได้ แต่ยังทำให้ผมทะลุระยะทางที่ผมไม่เคยทำมาก่อนแบบไม่มีอาการบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ผมสรุปด้วยตัวเองว่าอาการเจ็บแปลบที่ต้นคอน่าจะเกิดจากอาการเกร็งเนื่องจากผมใช้พลังทุกอย่างในการขุดทุก ๆ สิ่งออกมาเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า ผมจึงพยายามผ่อนคลายแล้ววิ่งต่อไป จริงอย่างที่คิดอาการเจ็บต้นคอค่อย ๆ จางหายไปในระยะเวลาไม่ช้า ในระยะนี้ผมเริ่มใช้จุดให้น้ำอย่างฟุ่มเฟือย จากที่เคยใช้จุดให้น้ำเป็นจุดผ่อนคลายทางจิตใจ วิ่งโฉบเข้าไปเก็บน้ำและฟองน้ำ จิบเล็กน้อย ล้างหน้าเล็กน้อย แต่ที่ระยะนี้ผมเริ่มเดินเข้า เดินออกจากจุดให้น้ำเป็นระยะทางที่ไกลขึ้นทุกที ๆ

และแล้วสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นก็เกิดกับผม ที่ระยะประมาณ 36.5 Km ผมรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย และมีความรู้สึกว่าผมต้องใช้ความพยายามมากผิดปกติในการที่จะต้องวิ่งให้เป็นเส้นตรง ผมเดาเอาว่าร่างกายผมกำลังขาดน้ำหรือสารอาหารบางอย่าง ผมชลอความเร็วลงจนในที่สุดกลายเป็นเดิน และหลังจากนั้นผมวิ่งไม่ออกอีกเลย เพราะจะเกิดอาการไปไม่เป็นเสียอย่างนั้น ผมกลัวที่จะต้องออกจากการแข่งขันและไม่จบมาราธอนแรกของผม มันคงจะเป็นฝันร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมจึงเลือกที่จะเดินช้า ๆ หยิบลูกพรุนขึ้นมากิน ในใจคิดว่าเราจะสิ้นสุดที่ระยะนี้จริง ๆ หรือ เสียงในหูแว่วมาจากคำพูดคุยกับเจ้าของร้าน Bike Zone เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ดังขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ “I hit the wall at 32nd km in my first marathon” ผมเริ่มตกใจ นี่หรือที่เขาเรียกว่า Hit The Wall ของจริง มันเกิดกับผมที่ 37km จริงหรือ แล้วผมจะทำอย่างไรต่อไป แต่แล้วลูกพรุนที่มีความชุ่มฉ่ำเรียกร้องให้ผมหยิบลูกแล้วลูกเล่า เดินไปคิดไป ตรวจสอบร่างกาย ความรู้สึก และแล้ว ป้ายบอกระยะทางซึ่งในเวลานี้เปลี่ยนเป็นบอกระยะทางที่เหลือ 4km

ผมเหลือบดูนาฬิกา ผมใช้เวลาไปสี่ชั่วโมงเศษ ๆ แล้ว ในใจผมเริ่มคิดถึงเรื่องอื่นแล้ว ผมเริ่มมองเห็นความหวัง เริ่มมองเห็นเส้นชัย ผมนัดครอบครัวของผมไว้ว่า ผมน่าจะเข้าเส้นชัยในช่วงสี่ชั่วโมงถึงสี่ชั่วโมงครึ่ง หรือเต็มที่ก็ไม่น่าจะเกินห้าชั่วโมง ผมเริ่มคิดว่าในเวลานี้พวกเขาน่าจะเริ่มมารอบริเวณเส้นชัยกันแล้ว ผมใช้พลังสมองที่มีเหลือเพียงน้อยนิดจากการทุ่มเทพลังงานทั้งหมดในการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเพื่อคำนวณความเร็วของผมในปัจจุบันซึ่งตอนนี้ก้าวเลยไปเป็นแปดนาทีกว่า ๆ ต่อกิโลเมตรแล้ว (ถ้าผมยังวิ่งอยู่) แต่ถ้าผมเดินผมต้องใช้เวลาเกินห้าชั่วโมงเป็นแน่ ผมจึงตัดสินใจใช้พลังจิตพลังใจทั้งหมดที่มีออกวิ่งอีกครั้งด้วยความเร็วที่เต่ายังอาย สังเกตุจากทุก ๆ คนวิ่งแซงผมได้เพียงแค่พวกเขาเลือกที่จะวิ่ง แต่แล้วผมก็จะวิ่งแซงกลับได้ทุกครั้งที่เขาเหล่านั้นพักเดินอีกครั้ง มันเป็นแผนมาตรฐานที่เพื่อนผมชื่อต่อสอนไว้ นั่นคือการใช้กลยุทธิ์เดินสลับวิ่ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะใช้ได้ไม่ดีสำหรับผม ผมจึงวางแผนสำหรับสี่กิโลสุดท้ายว่าผมจะวิ่งตลอดเวลาแม้ว่าจะช้าแค่ไหนก็ตามแล้วผมก็วิ่งไปเรื่อย ๆ

ในระยะ 2 กิโลเมตรสุดท้ายที่เริ่มเลี้ยวเข้าเส้นถนนคนเดินเป็นช่วงเวลาที่เหงาอย่างมากมาย นักวิ่งแต่ละคนอยู่ห่างกันมากจนเหมือนผมดูเหมือนเป็นคนบ้าวิ่งอย่างทรมานอยู่คนเดียวในอากาศที่ร้อนระอุของวันนั้น และแล้วกลยุทธของผมก็เริ่มได้ผล ผมวิ่งช้า ๆ ไม่หยุดและสามารถแซงหลาย ๆ คนที่เคยวิ่งแซงผมไปเพราะเขาเหล่านั้นแทบจะเปลี่ยนเป็นการเดินไปกันหมดแล้วจากการที่แพ้ใจตัวเองในช่วงสลับเดิน แต่ละก้าวของสองกิโลเมตรสุดท้ายมันช่างยาวนานเชื่องช้า และยากลำบาก ป้าย 500 เมตรสุดท้ายไม่ทำให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้นมากนักเมื่อมองด้วยสายตาแล้วเซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยาซึ่งเป็นเส้นชัยไม่ยังดูสุดลูกหูลูกตาเสียเหลือเกิน แต่แล้วในที่สุด 200 เมตรสุดท้ายคืบเข้ามาราวกับว่าผมเป็นหอยทากออกมาเดินจ่ายตลาด แต่ผมรู้ว่าทุก ๆ คนรอผมอยู่ในระยะอีกไม่กี่ก้าวผมคงเจอกับพวกเขา กัดฟันต่อไป ผมยกมือขึ้นชูนิ้วโป้งให้กับช่างถ่ายภาพที่รอถ่ายในบริเวณใกล้เส้นชัย

ในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ลูก ๆ ครอบครัว และเพื่อน ๆ เริ่มส่งเสียงเชียร์ ช่วงสุดท้ายแล้วผมคิดในใจ ผมเริ่มสามารถเร่งความเร็วขึ้นได้เล็กน้อย แม้ว่ามันจะไม่ช่วยเรื่องเวลากับผมอีกแล้วแต่มันก็ทำให้รู้สึกดีที่เราวิ่งแทบทั้งระยะมาราธอนและที่สำคัญเราวิ่งเข้าเส้นชัย แม้ว่ามีการเดินในช่วงกิโลเมตรที่ 37 แต่ก็เป็นระยะทางไม่น่าจะเกิน 1Km เพียงเท่านั้น ลูกชายผมวิ่งเข้ามาหาตามที่นัดกันไว้ แต่ไม่ยอมวิ่งเข้าเส้นชัยกับผม ไม่เป็นไรค่อย ๆ ฝึกกันไปคราวหน้าผมจะพาเขาวิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมผมให้ได้ จากที่เคยคิดว่าเมื่อถึงเส้นชัยจะล้มตัวลงนอนแล้วให้ใครก็ได้มาแบกไปปฐมพยาบาล นวด แต่ด้วยความกลัวว่ากองเชียร์จะเข้าใจผิดว่าเป็นลม จึงแข็งใจเดินไปบริเวณให้น้ำ ก่อนที่อำนวยเพื่อนของผมที่มาร่วมวิ่งระยะฮาร์ฟมาราธอนในวันนี้จะเอาเกเตอร์เรทมาให้ถึงมือ ช่วยอาสาเดินไปบอกครอบครัวผมว่าผมกำลังจะคลานไปนวด

คลิปลูกชายวิ่งมารับคุณพ่อ

ผมใช้เวลานวด และนั่งพักหลังเต้นท์นวดอยู่นานเพื่อรอตุ๊ (จริง ๆ แล้วไม่สามารถลุกเดินไปไหนได้อีก) แต่แล้วด้วยความที่ลูก ๆ เริ่มงอแงเราจึงต้องเดินทางกลับก่อนที่ตุ๊จะเข้าเส้นชัย น่าเสียดายคราวนี้เลยไม่ได้ถ่ายรูปหมู่กับเพื่อน ๆ กันเลย งานนี้จริง ๆ แล้วมีเพื่อนมาเยอะเลยทีเดียว ผม โด่ง และหมอนก ที่มาวิ่งฮาร์ฟมาราธอนกับโด่ง และครอบครัวของพวกเราก็เดินกลับที่พักที่อยู่ไม่ไกล ในระหว่างนั้นอำนวยก็โพสรูปตุ๊เข้าเส้นชัย แล้วบอกว่าเรานั้นพลาดไปแป๊บเดียวเท่านั้น

สรุปว่าในวันนี้ผมได้เรียนรู้หลายอย่าง ทดสอบหลายอย่างกับจิตใจ ร่างกายของผม ในที่สุดผมก็สามารถพูดได้ว่า “I’m a marathon man” ด้วยเวลา 4 ชั่วโมง 50 นาที ผมแอบภูมิใจเล็ก ๆ กลับห้องพักไปอาบน้ำ นอนพักเล็กน้อย ทานอาหารเที่ยง นอนพัก แน่นอนว่าผมวางแผนพักต่ออีกหนึ่งคืน กับความรู้สึกอิ่มเอม ในที่สุดผมก็พิสูจน์แล้วว่าผมทำได้ และผมจะทำอะไรก็ได้ เราเป็นเจ้านายของร่างกายเราเอง เจอกันในสนามต่อไปครับ แล้วอย่าลืมทักทายกันบ้าง