Run for a reason : The Gears


12 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา ตีสาม ผมค่อย ๆ คืบคลานไปปิดนาฬิกาปลุก ก่อนที่จะพาร่างไร้วิญญาณไปแปรงฟัน อาบน้ำ วันนี้ผมมีรายการวิ่ง กรุงเทพมาราธอน 2554 ที่ต้องเลื่อนมาจากปลายปีที่แล้วเนื่องจากเหตุการณ์มหาอุทกภัย นี่จะเป็นรายการวิ่งแข่งขันครั้งแรกของผมในรอบเกือบยี่สิบปี ในการแข่งครั้งนี้ผมต้องซื้ออุปกรณ์ใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว ความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อเสริมความตื่นเต้นจากการได้เล่นของเล่นใหม่เหล่านี้ ผมออกจากห้องน้ำเพื่อมาสวมใส่ชุดแข่งขันที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืน เป็นการเตรียมตัวเพื่อลดความฉุกละหุกของการตื่นเช้า

The Gears :

ชุดวิ่งต่างไปจากเมื่อยี่สิบปีที่แล้วเป็นอย่างมาก ชุดอดิอาสชุดนี้เป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกที่ผมมีของอุปกรณ์กีฬาค่ายใหญ่ค่ายนี้ ปัจจุบันดูเหมือนว่ากางเกงวิ่งจะขายาวขึ้นมาก หรือเป็นเพราะว่ามีคนหันมาวิ่งกันมากขึ้นจึงต้องออกแบบให้โดนใจคนหมู่มาก เมื่อก่อนนั้นกางเกงวิ่งทุกตัวที่ผมมีสั้นจู๋เห็นโคนขาแล้วยังผ่าไปจนเหลือด้านข้างเพียงนิ้วเศษ ๆ เท่านั้น เข้าใจได้เพราะเราไม่อยากให้มีอะไรมาขัดขวางการวิ่งของเรานั่นเอง แต่เมื่อกางเกงขายาวเช่นนี้ เทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ ชุดนี้เป็นชุดที่อยู่ในระดับทอปของอดิดาสในเวลาที่ผมซื้อ ถักด้วยเส้นใย silver เพื่อช่วยในการถ่ายเทความร้อน ไม่รวมถึงระบบแห้งเร็ว moisture wicking และอื่น ๆ อีกมากมายลายตา ยี่สิบปีที่ผ่านมามันมีอะไรเปลี่ยนไปมากจริง ๆ ต่างจากคีเวิร์ด DriFit ของไนกี้ที่ผมคุ้นเคย

ผมสวมเสื้อยืดทับอีกตัวเพื่อไม่ให้ดูแปลกตาจนเกินไปนักสำหรับคนที่จะเดินออกจากบ้านตอนตีสามครึ่ง แล้วนั่งใส่รองเท้าไวแบรมห้านิ้ว (แล้วผมจะมาคุยทีหลัง) ก่อนที่จะคว้าหมวก Ironman ที่ผมได้ติดมือมาจากรายการ Ironman 70.3 ที่ภูเก็ต คว้าอุปกรณ์ทุกอย่างลงถุงแล้วรีบออกไปจับแทกซี่มุ่งไปหน้างานในทันที คนขับแทกซี่มองผมแปลก ๆ แล้วถามว่ามีอะไรกันเหรอพี่ ผมก็เล่าถึงรายการแข่งขันแล้วต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป ผมหันไปจัดการกับอาหารเช้าที่เตรียมมาทั้งครัวซองค์และกล้วย คนขับเหลือบมองดูผมอีกครั้งราวกับสงสัยถึงสาเหตุที่แท้จริงของการใส่หมวกในเวลาตีสามเศษ ๆ ผมไม่ปล้นพี่หรอก ผมคิดในใจ

แม้ว่าในรายการแข่งขันวันนี้ผมน่าจะวิ่งเข้าเส้นในเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า ที่พระอาทิตย์ยังไม่ตื่นมาทำงานดี ผมก็ตัดสินใจที่จะคว้าหมวกใบนี้เข้าการแข่งขันกับผมด้วย หมวกที่ออกแบบมาสำหรับใส่วิ่งระยะไกลนั้น มีไอเดียที่ช่วยให้การวิ่งนั้นสบายขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับหน้าที่หลักในการบังแดดของมัน แน่นอนว่าการใส่หมวกอาจจะทำให้หัวร้อนขึ้นเล็กน้อย แต่การใช้ผ้าทีี่มีใยปรุ และแห้งเร็วนั้นจะลดปัญหานี้ไปได้มาก หมวกสีขาวไม่ดึงดูดแสงมากไปกว่าสีผม หรือสีของหนังศีรษะในกรณีของผม แต่ปัจจัยสำคัญที่ผมนำมันมาด้วยในวันนี้คือ build-in sweat management headband หรือง่าย ๆ มันคล้าย ๆ กับสายรัดศีรษะที่นักเทนนิสเมื่อยี่สิบปีที่แล้วนิยมใช้กัน พอซ่อนมันไว้ในหมวก เทคโนโลยีโบราณนี้ก็เข้ากับยุคสมัยได้โดยง่าย สำหรับคนที่มีไม่ผมและคิ้วบางอย่างผม อุปกรณ์ชิ้นนี้สำคัญมาก ๆ ไม่มึใครอยากจะต้องมีปัญหาแสบตาจากเหงื่อ ในขณะที่ปัญหาหลัก ๆ ควรจะเกิดกับขาเพียงเท่านั้น

ผมมาถึงหน้างาน ฝากของและ warm up เล็กน้อย จัดการเรื่องห้องน้ำ เดินไปจุดปล่อยตัว และยืดเส้นยืดสายรอ เพื่อนผมเดือนเข้ามาทักทาย เราคุยกันเล็กน้อย ก่อนที่สัญญาณปล่อยตัวดังขึ้นผมวิ่งออกไปช้า ๆ ตามคนจำนวนมากที่ค่อย ๆ ขยายตัวออกไปจนเต็มถนน เสียงเพลงจังหวะกระชับช่วยให้ผมค่อย ๆ ทำเวลาไล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ จากจุดเริ่มต้นที่แออัด สำหรับคนที่เกิดมาในยุคของ Sony/Aiwa Walkman ผมไม่เคยคิดว่าจะสามารถพกพาเพลงลงแข่งขันวิ่งในระยะทางฮาล์ฟมาราธอนอย่างวันนี้ ในยุคก่อนนิตยสารวิ่งจะเขียนถึงการนับก้าว นับลมหายใจ นับต้นไม้ เรื่อยไปจนถึงท่องพุทโธ เพื่อดึงจิตใจของเราให้อยู่กับกิจกรรมซ้ำ ๆ อย่างนี้เป็นระยะเวลาสองชั่วโมง แต่ไม่ใช่วันนี้ ผมพก iPhone4s อายุไม่กี่เดือนของผมมาผจญภัยกับผมด้วย ต้องขอบคุณ H2O Audio Waterproof Armband ที่แม้ว่าจะใหญ่เทอะทะที่สุดในตลาด แต่กันน้ำ 100% เพียงพอที่จะทำให้ผมยอมมองข้ามความเทอะทะนั้นไป แต่ด้วยวัสดุนีโอปรีนและความเทอะทะของมันเองกลับทำให้การใส่อาร์มแบนด์นี้ มันสบายกว่าที่เห็นมากนัก ดนตรีอยู่กับผมทุกที่ที่ย่างไป


“You are behind your target pace 30 seconds” เสียงเตือนเบา ๆ แทรกผ่านเสียงดนตรี ส่งผ่านหูชั้นนอกของผมเข้าไปเตือนโสตประสาทที่เหลือ ผ่านไปเกือบสามในสี่ของการแข่งขันแล้ว ในหัวของผมสับสนเป็นอย่างมากเมื่อข้อมูลจากโคชที่ผมพกพามาด้วยในการแข่งขันครั้งนี้ ขัดแย้งกับข้อมูลที่ผู้จัดตั้งไว้ตามรายทางการแข่งขัน ใครถูกกันแน่วะเนี่ย ผมสบถ ความสนุกของการกลับมาซ้อมครั้งนี้ ครึ่งหนึ่งต้องยกให้เป็นผลงานของโคชที่ว่านี้เลยทีเดียว แทนที่จะลงทุนในระบบอื่น ๆ อย่างเช่น Garmin ผมเลือกที่จะใช้ Runkeeper ที่ลงใน iPhone4s ของผมเป็นโคชให้ผม น่าทึ่งว่าทุก ๆ ก้าวที่ผมวิ่งในรายการนี้ ถูกส่งอย่างสด ๆ ผ่านระบบ 3G ไปยังเวปไซท์ของรันคีปเปอร์ และครอบครัวผมสามารถมองเห็นผมในสนามแข่งขันทุก ๆ วินาทีถ้าต้องการ ผมไม่ได้ไปเที่ยวไหนแต่กำลังเหงื่อตกอยู่แถว ๆ สะพานพระรามแปด ภรรยาผมอาจจะสบายใจขึ้น ด้วยความช่วยเหลือของโปรแกรมต่อเชื่อม CycleLog ผมได้ข้อมูลที่ทำให้การแข่งขันหรือการซ้อมของผมสนุกขึ้นกว่ายี่สิบปีที่แล้วเป็นอย่างมาก “You are behind your ghost pace 1,450 meters” แม้ว่าผมจะวิ่งตามผีตัวนี้อยู่ตลอดก็ตาม ย้อนกลับไปยี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่น่าเชื่อว่า ณ เวลานี้ผมกำลังสื่อสารกับดาวเทียมสามถึงสี่ดวงห่างออกไปกว่าหลายหมื่นกิโลเมตร บอกต่ำแหน่งของตัวเอง บันทึก คำนวณ ส่งข้อมูลผ่านระบบเซล 3G เข้าสู่เมนเฟรมของ รันคีปเปอร์ และ ไซเคิลลอค ที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง เพื่อประกาศข้อมูลเหล่านี้สด ๆ ลงในเวปไซท์ ให้ใคร ๆ ติดตามการกลับมาของผมในวันนี้ได้

ชุดกีฬาไฮเทค ที่ผมซื้อมาด้วยเงินสูงเกินความจำเป็นไม่ได้ perform ได้ดีอย่างที่คุยโม้ ทั้งเสื้อและกางเกงเปียกโชก แนบติดตัวและขาของผมอย่างน่ารำคาญ ขาสั้นจู๋ยังจะดีเสียกว่า ว่าแล้วว่าทำไมนักวิ่งเคนยาทั้งหมดที่วิ่งสวนไปตั้งแต่ผมเริ่มวิ่งได้ไม่นาน ล้วนแล้วแต่ใส่ขาสั้น ๆ กันทั้งนั้น ผมบ่นก่นด่า อาจจะเป็นเพราะหลาย ๆ อย่าง ณ ตอนนี้มันไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย ระยะทางจากดาวเทียม GPS ไม่ตรงกับระยะตามป้ายที่ผู้จัดรายการ ความเร็วที่ทำได้ที่คำนวณจากโคชไม่รู้ว่าแม่นยำแค่ไหน ไม่รู้ว่าใครหลอกใคร เครื่องดื่มเกลือแร่ที่ผู้จัดแจ้งว่าจะมีเสริมตั้งแต่ระยะ 16 กิโลเมตรเป็นต้นไป กลับมีเพียงที่ระยะ 16 กิโลเมตรเท่านั้น เสียงเพลงที่กรอกหู ณ ตอนนี้เหมือนตอกย้ำความซับซ้อน สับสน แต่ผมยังคงต้องวิ่งต่อไป ในกีฬาคนอึดความรู้สึกเหล่านี้จะมาหลอกหลอนเราให้หยุด ให้เลิกอยู่เสมอ เป็นการทดสอบของชีวิตที่เราได้รับการฝึกฝนให้เกร่งขึ้น

เสียงของเส้นชัยได้ยินมาไกล แต่แล้วเส้นทางวิ่งก็พาผมห่างออกไปอีกครั้ง ขาของผมหนักขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเพราะใจหรือร่างกาย มองดูเวลา ผมคำนวณไม่ถูกแล้วว่าผมจะทำได้หรือไม่กับเป้าหมาย เสียงเพียงดังขึ้นในหูของผมราวกับว่าเข้าใจ Yo Yo Ma บรรเลง unaccompanied cello suite ของ Bach แม้ว่าเป็นบทเพลงที่ผมรัก แต่ ณ เวลานี้มันเหมือนกับ soundtrack ของภาพยนต์ที่ตัวเอกของเรื่องกำลังสิ้นหวัง ในที่สุดกำแพงอันสวยงามก็อยู่ตรงหน้า ผมพยายามเร่งความเร็ว แต่ก็พบว่าหลาย ๆ คนเริ่มแซงผมราวกับผมยืนอยู่กับที่ เวลาสองชั่วโมงได้ผ่านไปแล้ว แม้ว่าตอนนี้เพลงได้เปลี่ยนไปเป็น Black Eyes Peas เร้าใจเต็มที่แล้ว แต่ในใจผมไม่เป็นสุขเท่าที่หลาย ๆ คนที่เส้นชัยคิดเมื่อเห็นผมค่อย ๆ วิ่งเข้าไป เสียงตบมือดังขึ้น ผู้ประกาศเรียกชื่อ “Nattapong Nithi-Uthai from Indonesia” เป้าหมายผมพังทลายไปแล้ว ผมวิ่งเข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 2:02 “from Indonesia” ผมคิดในใจ มันเอามาจากไหนเนี่ย

ผมเดินตรงไปจนสุดทาง หาสนามหญ้าที่มุมเลี้ยวที่นักวิ่งที่เหลือทุกคนจะต้องวิ่งผ่าน ผมนั่งลงอย่างหมดแรง ผมถอดรองเท้าออกและมองมันอย่างภาคภูมิใจ ความสับสนจากสถิติที่น่าผิดหวังร่วมกับป้ายบอกระยะทางที่สุดแสนจะมั่วผ่านไปแล้ว ผมกลับวิ่งระยะทางนี้ได้เพราะรองเท้าคู่นี้จริง ๆ ไม่เสียแรงที่พยายามหาซื้อมาด้วยความยากลำบาก ประมาณ 12 ปีที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุทางหลังกับผม จนกระทั่งในที่สุดกลายเป็นอาการของโรคกระดูกเสื่อม และทำให้ผมต้องหยุดวิ่งไปเมื่อกว่า 5 ปีโดยเด็ดขาด หลังจากผมพยายามหากีฬาใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพาะกาย ปีนหน้าผา แต่กีฬาคนอึดแบบนี้ดูจะตอบโจทย์ผมได้มากกว่า หลังจากตัดสินใจว่าจะลองกลับมาวิ่งอีกครั้ง ผมค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนทจนพบว่ามีการศึกษาที่บอกว่าการวิ่งด้วยปลายเท้า จะทำให้มีการกระแทกหลังส่วนล่างน้อยมาก ผมก็ลองทันทีด้วยรองเท้าแตะ เมื่อวิ่งสะสมไปสักหนึ่งร้อยกิโลเมตร ผมจึงตัดสินใจซื้อ Vibram Fivefingers ที่กำลังเป็นผู้นำในเทรนด์วิ่งปลายเท้าอยู่ในขณะนี้

แน่นอนว่าผมใช้ระยะเวลาปรับตัวอีกสักพักในการวิ่งด้วยปลายเท้า กล้ามเนื้อน่องและต้นขามีการใช้งานมากเป็นพิเศษและไม่ค่อยคุ้นเคย แต่เมื่อเพิ่มระยะทางมากขึ้นเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อเหล่านี้ก็แข็งแรงขึ้นและไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป กระแสการวิ่งด้วยปลายเท้าก็กำลังมาแรง ต่อไปน่าจะหาข้อมูลการวิ่งในลักษณะนี้ได้เพิ่มเติมอีกมาก จาก ณ เวลานี้ ถ้าจะหาก็ใช้คำว่า pose running หรือ chi running ก็มีอะไรให้อ่านไม่รู้จบแล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่ผมเป็นกังวลแต่อาจจะไม่มากเท่าคนอื่น ๆ ที่จะหันมาใช้รองเท้าคู่นี้ คือ การไม่ใส่ถุงเท้าวิ่ง การเลือกรองเท้า fivefingers ให้ถูกขนาดเป็นเรื่องสำคัญมาก ถึงขนาดมีข้อมูลในเวปที่สอนวิธีการวัดอย่างละเอียด ในเวปเน้นให้เลือกไซด์ตามที่วัดได้จริง ๆ ทั้งสองข้าง ผมจำเป็นต้องเลือกไซด์ของผู้หญิงที่มีความฟิตมากกว่าไซด์ผู้ชาย ถ้าใครเท้าไม่เท่ากันเขาแนะนำให้ซื้อสองคู่เสียด้วยซ้ำ เมื่อรองเท้าฟิตพอดีปัญหาก็ไม่เกิด อาการรองเท้ากัดเกิดกับผมในวันแรกที่ได้รองเท้ามาเพียงวันเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีปัญหาอีกเลย รวมไปถึงในระยะทางฮาล์ฟมาราธอนวันนี้ด้วย

การไม่มี cushion ในรองเท้าอาจจะทำให้หลาย ๆ คนกังขาถึงผลลัพธ์ของการวิ่ง การซ้อม อันนี้ผมยังไม่สามารถบอกอะไรได้ เพราะผมยังอยู่กับมันได้ไม่นาน เสียงของฝรั่งดังขึ้นในหัวผมอีกครั้ง “Good luck in your Vibram. It’s pretty hard on your knee” ผมต้องยอมรับว่าผมไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่าง เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้วมากนัก ความรู้สึกเจ็บข้อเท้า และเข่า ซึ่งเกิดทุก ๆ ครั้งภายหลังการแข่งขันในระยะนี้ มันอาจจะมากกว่าการลงส้นเท้าแล้วมี cushion แต่อย่างน้อย รองเท้าคู่นี้ และการวิ่งปลายเท้า ทำให้ผมกลับมาเล่นกีฬาที่ผมรักที่สุดได้อีกครั้ง คือ ไตรกีฬา ผมวิ่งได้แล้ว ผมปั่นจักรยานได้แล้ว ว่ายน้ำไม่เป็นปัญหาแน่นอน ขอบคุณ Vibram Fivefingers ครับ

เพื่อน ๆ ผมมารวมตัวกันแล้ว เราชักภาพร่วมกันสองสามภาพก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมค่อย ๆ เดือนโขยกเขยกไปขึ้นแทกซี่ ในใจตั้งคำถาม “Hard on my knee” ผมรู้สึกอย่างนั้น แต่ผมก็ยังดีใจมากกว่าผมไม่สามารถวิ่งได้อีกเลย

Run for a reason : The Race


12 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา ตีสาม ผมค่อย ๆ คืบคลานไปปิดนาฬิกาปลุก ก่อนที่จะพาร่างไร้วิญญาณไปแปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว วันนี้ผมมีรายการวิ่ง กรุงเทพมาราธอน 2554 ที่ต้องเลื่อนมาจากปลายปีที่แล้วเนื่องจากเหตุการณ์มหาอุทกภัย นี่จะเป็นรายการวิ่งแข่งขันครั้งแรกของผมในรอบเกือบยี่สิบปี ครั้งสุดท้ายผมลงรายการนี้ในระยะฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กม. ด้วยเวลา 1:47 เป็นเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม อายุเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบปี เป้าหมายของผมในปีนี้คือ ต่ำกว่าสองชั่วโมงในระยะทางเดียวกัน แต่ก็แอบหวังลืก ๆ ที่จะเข้าใกล้สถิติอันนี้ของผม แม้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปนอกเหนือจากอายุ หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมจะมีโอกาสใช้ โอกาสที่จะทำ เป็นครั้งแรก ผมก็ยังคิดว่าทุกอย่างน่าจะไปได้ด้วยดีในวันนี้ ผมรีบแต่งตัวแล้วคว้ากล้วยหอมสี่ลูกที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แล้วรีบโจนออกไปเรียกแทกซี่ นาฬิกาบอกเวลาตีสามครึ่ง หลังจากบอกเป้าหมายกับคนขับแทกซี่แล้วก็ได้โอกาสปอกกล้วยเข้าปาก พลางคิด เราทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร

The Race :

กรุงเทพมาราธอน 2011 สำหรับปีนี้เป็นการจัดครั้งที่ 24 แล้ว จุดเริ่มต้นและสิ้นสุดอยู่บริเวณริมรั้วพระบรมมหาราชวังฝั่งกระทรวงกลาโหม ซึ่งให้ฉากของการวิ่งเข้าเส้นชัยยิ่งใหญ่ตระการตา สมกับเป็นรายการมาราธอนที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งของประเทศ ที่มีการจัดมาเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว กรุงเทพมาราธอน ครั้งที่ สอง สาม สี่ อยู่ในสภาพที่มีความเสี่ยงจะยกเลิกทุกปี แต่นี่ยี่สิบสี่ปีผ่านไป ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดี ไม่เหมือนกับ Jazz Festival ที่ต้องเปลี่ยนชื่อ ล้มหายตายจากไปด้วยระยะเวลาไม่เกินสองปี ผมมาถึงบริเวณปล่อยตัวประมาณตีสี่ เพื่อมาพบกับกระบวนการจัดการที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับยี่สิบปีที่แล้ว ผมตรงเข้าไปฝากกระเป๋า ก่อนที่จะออกวิ่งเหยาะ ๆ ประมาณยี่สิบนาที เพื่อเป็นการวอร์มร่างกาย เรียบร้อยแล้วก็เดินหาห้องน้ำเพื่อทำธุระที่จำเป็น ก่อนที่จะได้ตระหนักว่า ป้ายบอกทาง ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย แม้ว่าผมจะดูแผนที่คร่าว ๆ มาแล้วว่าตำแหน่งของห้องน้ำอยู่ที่ใด แต่เมื่ออยู่หน้างานมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด สุขาอยู่หนใด ผมพยายามมองหาป้ายแต่ไม่พบจึงได้ตัดสินใจเดินตามคนส่วนใหญ่เข้าไปในสวนสราญรม ผมคาดไว้ไม่ผิดคนส่วนใหญ่เหล่านั้นเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่นี่ไม่ใช่ห้องน้ำที่ทางผู้จัดเตรียมไว้ แต่หากเป็นห้องน้ำเล็ก ๆ ภายในสวน พร้อมกับแถวยาว ๆ ผมเข้าคิวเพื่อรับฟังฝรั่งด้านหน้าก่นด่าผู้จัดอย่างเมามันส์ อยากจะบอกเขาว่านี่ไม่ใช่ห้องน้ำที่เขาจัดไว้นะ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าที่เขาจัดไว้ให้มันอยู่ที่ไหน ก็เลยต้องเงียบไว้ก่อน

หลังจากห้องน้ำผมก็มุ่งหน้าไปที่จุดปล่อยตัว เหลือเวลาอีก 15 นาที ผมยืดเส้นยืดสายรอเวลา ไม่นานนักเพื่อนที่เป็นคนชักชวนให้ผมกลับมาวิ่งอีกครั้ง ก็แวะเข้ามาทักทาย ผมนึกในใจคนตั้งพันสองร้อยคน มันเห็นผมได้ไงง่ะ ผมลดความตื่นเต้นของตัวเองด้วยการถามเพื่อนของผมถึงเส้นทาง และระยะทางที่จะผ่านสะพานทั้งสองสะพานในการแข่งขัน การวิ่งขึ้นสะพานตอนเหนื่อย ๆ มันไม่ค่อยน่าสนุกนักในความคิดของผม เพื่อนผมหันมาตอบว่าสะพานแรกก็สะพานปิ่นเกล้าที่อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง ผมถามถึงสะพานพระรามแปด แต่เพื่อนของผมได้แต่ยิ้ม

สัญญาณปล่อยตัวดังขึ้นผมวิ่งออกไปช้า ๆ ตามคนจำนวนมากที่ค่อย ๆ ขยายตัวออกไปจนเต็มถนน สะพานแรกอยู่ใกล้จริง ๆ ผมพยายามควบคุมความเร็วไม่ให้สูงเกินไปนัก ผมไม่ได้ซ้อมมากเท่าไร ระยะสูงที่สุดที่ผมซ้อมมาสำหรับการแข่งขันนี้คือ 14 กม. ในวันนี้ผมต้องวิ่งต่อไปอีก 7.1 กม. ผมยังไม่อยากเจอกับอาการชนกำแพงเป็นครั้งแรกของชีวิตในวันนี้ การวิ่งในวันนี้มันช่างต่างไปจากยี่สิบปีก่อนเสียจริง ๆ ผมไม่ได้เห็นตัวเมืองอย่างที่เป็นเมืองเอาเสียเลย หลังจากที่ขึ้นสะพานแรกมาแล้ว ผมยังไม่มีความรู้สึกว่าได้ลงสะพานอีกเลย ผมนึกในใจว่านี่กรุงเทพฯ เรามีรถเยอะขนาดต้องทำถนนวิ่งกันสองชั้นกันเลยหรือ ไม่ทันไร ก็ถึงจุดกลับตัว ที่ผมท่องมาว่าอยู่หน้าเซ็นทรัล เพื่อช่วยในการควบคุมเวลา อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เราวิ่งอยู่บนชั้นที่สองโดยตลอด ผมเริ่มกังวลถึงความเร็ว ผมเร็วเกินไปหรือเปล่านะ เมื่อดูป้ายบอกระยะเทียบกับเวลากลับพบว่านี่ผมวิ่งช้าอยู่เหรอเนี่ย ผมเร่งความเร็วขึ้นอีกนิด ไม่ทันจะได้ตั้งตัวป้ายบอกระยะทาง 10 กม. ก็อยู่ตรงหน้าผม ดูเวลาด้วยความตกใจ 50 นาที ผมวิ่งเร็วเกินไป ในใจคิด ไม่ค่อยเหนื่อยเลยนี่หว่า ถ้าอย่างนี้ 1:47 น่าจะมีความหวังนะเนี่ย

ความหวังผมค่อย ๆ สลายลงเมื่อผมวิ่งผ่านกิโลเมตรที่ 14 เข้าสู่เขตของความไม่รู้ ผมไม่เคยวิ่งเกินระยะนี้มาเป็นระยะเวลายี่สิบปี ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง ผมเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อป้ายบอกระยะทางที่ 16 กม. ยังไม่มาถึงเสียที นี่มันนานเกิดไปแล้วนะผมคิด ทันใดนั้นผมก็เห็นจุดให้น้ำอยู่ตรงหน้า ผมตัดสินใจไม่แวะเข้าเพราะรู้สึกว่าผมทำเวลาไม่ค่อยดีในช่วงที่ผ่านมา ในใจพาลฉุกคิดนิด ๆ ทำไมไม่มีป้ายบอกระยะทางนะที่จุดเมื่อกี้ ผมค่อย ๆ เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย จุดให้น้ำจุดต่อไปอยู่ด้านหน้า 18 กม. แล้วเหลือเพียงสามกิโลสุดท้าย เวลาแบบนี้น่าจะทำลายสถิติส่วนตัวเป็นแน่ ทันใดนั้นฝันผมก็สลายลงไปในทันทีเมื่อป้ายที่เห็นกลับเขียนว่า 16 กม. เห้ย อะไรฟะ ผมรีบคำนวณเวลาในใจอย่างรวดเร็ว โอ้ย 1:47 ไปซะแล้ว เวลาขณะนี้ 1:26 ต่ำกว่าสองชั่วโมงน่าจะยังเอาอยู่ ในใจคิดแต่ขาผมหนักขึ้นเรื่อย ๆ เร่งไม่ออกเลย กิโลเมตรที่ 18 เหมือนกับว่าจะไม่มีวันมาถึง ป้ายกิโลเมตรที่ 20 วางอยู่คู่กับ ป้ายกิโลเมตรที่ 40 ของมาราธอน เห้ย มันเหลืออีก 1 หรือ 2 กิโลกันแน่วะเนีี่ย

เสียงของเส้นชัยได้ยินมาไกล แต่แล้วเส้นทางวิ่งก็พาผมห่างออกไปอีกครั้ง ขาของผมหนักขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเพราะใจหรือร่างกาย มองดูเวลา ผมคำนวณไม่ถูกแล้วว่าผมจะทำได้หรือไม่กับเป้าหมาย ในที่สุดกำแพงอันสวยงามก็อยู่ตรงหน้า ผมพยายามเร่งความเร็ว แต่ก็พบว่าหลาย ๆ คนเริ่มแซงผมราวกับผมยืนอยู่กับที่ เวลาสองชั่วโมงได้ผ่านไปแล้ว เป้าหมายผมพังทลายไปแล้ว ผมวิ่งเข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 2:02

ผมค่อย ๆ เดินไปหาน้ำ ผลไม้ ในใจก่นด่าอยู่ตลอดเวลา จุดให้น้ำที่เส้นชัยมีน้อยนิด จนต้องต่อแถวรับน้ำกัน สปอนเซอร์น้ำเกลือแร่แกเตอเรต มีเพียงหนึ่งบูธที่แถวยาวเหมือนซื้อ Krispy Creme เต้นท์ผลไม้ซ่อนอยู่ในหลืบ แยกกันกับเต้นสปอนเซอร์แมคโดนัลที่ต้องเดินต่อไปอีกเกือบร้อยเมตร เป็นการทรมานคนที่เพิ่งวิ่งมา 21 กม. เป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องคิดถึงกลุ่มที่วิ่งมาแล้ว 42.195 กม. ผมมุ่งหน้าไปรับกระเป๋า น้ำเพียงหนึ่งแก้วที่รับมาได้จากการต่อแถวยาว ๆ หมดไปนานแล้ว ผมเดินตรงไปจนสุดทาง หาสนามหญ้าที่มุมเลี้ยวที่นักวิ่งที่เหลือทุกคนจะต้องวิ่งผ่าน ผมนั่งลงอย่างหมดแรง ตามองที่ผลไม้แจก พร้อมกับเบอร์เกอร์ ในใจได้แต่คิดว่าแล้วเราจะกระเดือกมันลงไปได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีน้ำให้กิน ผมคว้าแอปเปิ้ลในถุง กัดทันทีเพื่อประทังความกระหาย effect ของบริการนวดแถมขายประกัน รวมไปถึงสปอนเซอร์น้ำมันมวย ค่อย ๆ หายไป ความปวดเมื่อยกลับคืนมา ผมได้แต่นั่งรอเวลาให้เพื่อน ๆ ที่ชวน ๆ กันมาวิ่งระยะทางต่าง ๆ กันมารวมตัวกันเพื่อชักภาพประวัติศาสตร์วันนี้ไว้ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน

 

Living with Steve #1 : Data Security.

ผมก็เหมือนกับใครหลาย ๆ คนที่ก้าวเข้าสู่โลกของแอปเปิ้ลด้วยอุปกรณ์ขนาดพกพา โดยประมาณกึ่งหนึ่งเข้าผ่านทาง iPod อีกประมาณกึ่งหนึ่งเข้าผ่านทาง iPhone และอีกเสี้ยวหนึ่งเข้าผ่านทาง MacBook หลาย ๆ คนเมื่อข้ามเข้าสู่โลกของแอปเปิ้ลแล้ว มากกว่า 80% ใช้ชีวิตที่เหลือในโลกกับอุปกรณ์ประเภทนั้น ๆ ของแอปเปิ้ล ประเมินว่ามากกว่า 50% ถลำลึกเข้าไปในโลกอื่น ๆ ของแอปเปิ้ลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อไม่นานมานี้ผมก็มีโอกาสได้อ่านบทความสั้น ๆ ที่พยายามจัดอันดับมือถือในปัจจุบันซึ่ง บางลิสไม่มี iPhone รุ่นใด ๆ อยู่ในลิสเลย หรือ เมื่อมือถือค่ายอื่นอยู่ในอันดับที่สูงกว่า iPhone 4s ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานนัก ทำให้เกิดกระบวนการ link share ment กันอย่างสะใจจากสาวกค่ายอื่น ๆ ที่รอโอกาสนี้มานานแสนนาน ทำให้ผมคิดว่าเขาเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งอีก 50% ที่เหลือของผู้ใช้แอปเปิ้ลที่ยังไม่มีโอกาสก้าวถลำสู่โลกของแอปเปิ้ลอย่างเต็มตัวจะเข้าใจสิ่งที่ Steve Jobs ได้ออกแบบไว้หรือไม่

แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีรายละเอียดสูงเริ่มตั้งแต่การออกแบบ ฟังก์ชั่นการใช้งาน ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ เรื่อยไปจนถึงประสบการณ์การแกะกล่อง ที่มีน้อยนักที่เราจะได้รับความใส่ใจของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ในรายละเอียดระดับลึกซึ้งอย่างเช่นที่ Steve Jobs ทุ่มเทให้กับลูกค้าของเขา การนำเพียง ฟังก์ชั่นการใช้งานเพียงอย่างเดียวเพื่อมาใช้ในการจัดอันดับนั้นย่อมขาดรายละเอียดอีกหลายภาคส่วน และเป็นที่น่าเสียดายที่เราจะทิ้งภาคส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นไป เพราะนั่นเป็นเพียงน้ำจิ้ม main course ที่ Steve ได้ออกแบบไว้มันมากไปกว่านั้นอีกมากมายนัก โปรดติดตาม

แม้ว่าผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลจะสามารถทำงานได้เองโดยเกือบจะไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์อื่น ๆ ล่าสุดด้วย iOS5 แอปเปิ้ลก็ประกาศ PC Free อย่างไรก็ตามโปรดักส์ไลน์ทั้งหมดถูกออกแบบให้ใช้งานร่วมกันเป็นระบบนิเวศน์ทางอิเลคโทรนิคที่ถูกวางตำแหน่งเพื่อเสริมกันอย่างที่ไม่มีผู้ผลิตรายใด ๆ มองเห็น หรือมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำได้ ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลของแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มตามลักษณะการใช้งาน ได้แก่ Mac, iPod, iPad, iPhone และ AppleTV ซึ่งในปัจจุบันขนาดของแต่ละกลุ่มไม่สมดุลย์กันเท่าไรนัก ทั้งในแง่ของความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ปริมาณการขาย ความสามารถในการทำกำไร และความใส่ใจของแอปเปิ้ลเองต่อกลุ่มนั้น ๆ นอกจากนี้กลุ่มของผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถซื้อขายได้ แต่เสริมสร้างประสบการณ์การใช้งานของระบบนิเวศน์ ได้แก่ Apple Store, iTunes Store, App store ไปจนถึง iBook Store ซึ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดได้เป็นตัวกำหนดมาตรฐานที่สำคัญของตลาด ที่ในปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถสร้างสิ่งใด ๆ เข้ามาเทียบเคียงได้เลย สุดท้ายก็เป็นส่วนของ Software หลากหลายตัวที่แอปเปิ้ลพัฒนาขึ้นมาเพื่อแสดงดึงศักยภาพของระบบนิเวศน์ที่ว่านี้ออกมาใช้งานอย่างสูงที่สุด เริ่มจากระบบปฏิบัติการไปจนถึง iWork

ในความเป็นจริง ผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ล ถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกัน โดยมี Home based Mac ทำหน้าที่เป็น digital hub ทำหน้าที่เป็นหัวใจของระบบนิเวศน์ ซึ่งมีให้เลือกสามขนาดตามลักษณะการใช้งานของผู้ใช้ตั้งแต่ MacPro, iMac, Mac Mini  หัวใจดวงนี้มีหน้าที่ดูแลระบบข้อมูลทั้งหมดที่ไหลเวียนอยู่บนเครื่องมือแอปเปิ้ลที่คุณมี ทำหน้าที่ back up เป็นศูนย์กลางในการ syncronize ข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่ address, calendar ไปจนถึง movie และ music ในอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่คุณมีอยู่ทั้งหมดให้เป็นข้อมูลชุดเดียวกัน หรือเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ

ระบบความปลอดภัยของข้อมูลที่ว่านี้ จะถูกดูแลอีกชั้นหนึ่งผ่านโปรแกรมที่มาพร้อมกับ OSX Lion ที่เรียกว่า Time Machine เมื่อใช้ร่วมกับ feature ใหม่ที่เรียกว่า Versions ในโปรแกรมหลาย ๆ ตัวของแอปเปิ้ล ที่เก็บทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับไฟล์ของคุณ ในทุกรูปแบบเหมือนมีผ้าคลุมกาลเวลาของโดเรมอน การ save เป็นเรื่องที่เชยมากในโลกของแอปเปิ้ล คุณสามารถจะปิดเครื่อง ปิดโปรแกรม ดึงปลั๊ก ฟ้าผ่า ไฟดับ กลับมาก็จะพบกับสิ่งที่คุณทิ้งไว้อยู่เสมอ การสูญเสียข้อมูลของคุณแทบจะกลายเป็นเรื่องอดีตไปในทันที แน่นอนว่าเพื่อให้ integration ของระบบนิเวศน์นี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Time Capsule ได้ถูกวางตัวมาให้ทำหน้าที่นี้ Wireless Network Attatched Storage & Router ถ้าจะต้องอธิบายหน้าที่ของเจ้า Time Capsule มันก็คงจะมีชื่อยาว ๆ ทำนองนั้น ร่วมกับ Time Machine เจ้า Time Capsule จะทำให้คำว่า Backup เป็นสิ่งที่ล้าสมัยไปในทันที เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดใน digital hub ของคุณจะถูกเก็บเอาไว้อย่างเป็นระบบทุกชั่วโมงใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทุกวันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกสัปดาห์ในหนึ่งเดือนท่ี่ผ่านมา ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นไปโดยอัตโนมัติ

Time capsule ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับ Mac Mobile ของคุณด้วยแบบ seamless ไร้สาย ไม่ว่าคุณจะเป็น power mobile หรือ ligther mobile ด้วย Macbook Pro หรือ Macbook Air แม้กระทั่ง Vintage ไปกับ Original Macbook โปรแกรม Time machine ใน Mac Mobile ของคุณก็จะสามารถคุยไร้สายกับ Time Capsule เพื่อเก็บรักษาข้อมูลในลักษณะเดียวกันกับ digital hub  ของคุณทันทีที่ Mac Mobile ของคุณเข้าไปอยู่ในวง wifi เดียวกันกับ Time capsule

ส่วนอุปกรณ์กลุ่มอื่น ๆ ที่เหลือที่อยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS การเปลี่ยนแปลงไปสู่ iOS5 เมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้ ก็ทำให้กระบวนการที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นเป็นไปอย่าง seamless ไร้สายตามที่ควรจะเป็น มันน่าคิดจริง ๆ ว่าถ้าไม่ใช่เพราะ Steve Jobs จะมีใครดื้อรั้นพอที่จะให้เกิดระบบนิเวศน์ของการดูแลข้อมูลที่ไร้รอยต่อเช่นนี้ ถ้าคุณเลือกที่จะ Backup อุปกรณ์ iOS ของคุณผ่าน Mac แทนที่จะเป็น iCloud (ที่เราจะค่อยคุยกันต่อไป) และเลือกที่จะให้มีการ sync wirelessly กับ iTunes บน digital hub ของคุณ หรือที่เรียกว่า Wifi Sync เท่านี้ คำว่า Data Security ก็กลายเป็นเรื่องตลกที่คุยกันในอดีตเท่านั้น

อย่างไรก็ตามทิศทางในอนาคตที่แอปเปิ้ลจะย้าย digital hub นี้ไปอยู่บน iCould ก็เริ่มชัดเจนขึ้น แต่ ณ เวลานี้ยังค่อนข้างจะไกลจากความเป็นจริง เนื่องจากความไม่โปร่งใสเองของ iCould ขนาดที่จำกัดทำให้สามารถเก็บได้เพียงรูปหนึ่งพันรูป ข้อมูลจำพวก address, calendar ก็เท่านั้น พื้นที่ 5Gb ฟรีนั้นแทบจะไม่สามารถใช้งานอื่น ๆ ได้จริง ยกเว้นการเก็บข้อมูล docement ที่สามารถทำให้การทำงาน across platform ของคุณเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าท่าเท่าไรนักเพราะ document เหล่านั้นถูกจำกัดอยู่เพียง document ในระบบ iWork ของแอปเปิ้ลเพียงอย่างเดียว เรื่องระบบ Cloud นั้นแอปเปิ้ลมาทีหลัง ทำให้ระบบเมล์ ระบบ address, calendar เจ้าใหญ่รายอื่น ๆ ที่มาก่อนอย่าง Google ทำได้ดีกว่า ในขณะเดียวกันการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่าน Cloud นั้น ผู้เล่นอย่าง Dropbox ก็ทำได้ดีกว่า หลายเท่าเลยทีเดียว ในปัจจุบันการใช้  Homebased Mac เป็น digital hub ยังเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างระบบนิเวศน์พิเศษนี้

ผมเห็นว่าด้วยระบบนิเวศน์ที่ว่านี้เพียงอย่างเดียว ก็ทำให้ไม่ว่าจะ ranking อย่างไร ติดหรือไม่ติดลิสใด ๆ อุปกรณ์จากค่ายไหน ๆ ก็ไม่เข้าใกล้สิ่งที่ผมได้เล่ามาให้ฟังนี้ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ค่าใช้จ่ายในการสร้างระบบนิเวศน์ที่ว่านี้ เป็นข้อจำกัดที่สำคัญที่จะทำให้มีน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้สัมผัส หรือถ้าคุณสามารถรอจน iCloud สามารถใช้งานได้จริง ๆ ค่าใช้จ่ายนี้ก็จะลดลงอย่างน้อยครึ่งแสนกันเลยทีเดียว และวันนั้นหลาย ๆ คนจะเข้าใจว่าผมกำลังพูดถึงอะไร

Walking the path!

หกโมงเช้าผมงัวเงียขึ้นมาเพื่อกดปุ่ม snooze บน iPhone 4s เพื่อจะขอต่อเวลานอนอีกสักห้านาที แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กลูก ๆ ของผมเริ่มขยับตัว ผมจึงเปลื่ยนใจกดปุ่ม Awake! เสียงต้อนรับเบา ๆ จากมือถือ “Good morning, you have logged 5 hours and 47 minutes for the night” ผมก้าวขึ้นชั่งน้ำหนักเพื่อเก็บน้ำหนักตัวที่แม่นยำที่สุดของวัน เมื่อกระเพาะอาหารได้ทำหน้าที่ของมันอย่างหนักมาตลอดทั้งคืน 57.8 Kg Fat 13% แล้วรี่ไปล้างหน้าล้างตา ระหว่างที่ผมแปรงฟันอยู่นั้น ข้อมูลการนอน และน้ำหนักตัวพร้อมปริมาณไขมัน กำลังไหลผ่าน Wifi และคืบคลานเข้าสู่อินเตอร์เนท ไหลเข้าไปเก็บอยู่ในเซิร์ฟเวอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งที่อาจจะอยู่ห่างจากห้องนอนของผมกว่า 10,000 กิโลเมตร

ผมค่อย ๆ บรรจงแต่งชุดวิ่งที่เพิ่งได้ลองใช้มาไม่นานนักของอดิดาส ที่มีส่วนผสมของเส้นใย silver เพื่อช่วยในการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย ผมว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ผมซื้อมันมาเพียงเพราะสีส้มสะท้อนแสง น่าจะทำให้รถราต่าง ๆ เห็นผมได้หลาย ๆ กิโลล่วงหน้า วันนี้ตามตารางซ้อมของผมคือวิ่งสบาย ๆ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งน่าจะกินระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร หลังจากใส่รองเท้า Fivefingers Bikila เทรนด์ล่าสุดจากออสเตรเลีย ที่ผมต้องแสวงหามาอย่างยากลำบาก เพียงเพื่อจะมีโอกาสกลับมาวิ่งอีกครั้งหลังจากถูกโรคกระดูกสันหลังเสื่อมเล่นงานจนต้องเลิกวิ่งไปนานกว่า 5 ปี เรียบร้อยแล้วผมก็คว้าปลอกแขนขนาดเทอะทะแล้วยัด iPhone 4s เข้าไปอย่างทุลักทุเล เหลือบดูนาฬิกาบอกเวลา 6:30 น. ผมคิดในใจ “หนึ่งชั่วโมงโดยไม่ได้กินน้ำเลย จะทำเวลาได้เท่าไรกัน”

ผมหันไปเปิด Runkeeper และบอกกับโค้ชของผมว่าช่วยดู pace ให้ผมด้วยนะ เป้าหมาย 5:30 นาทีต่อกิโลเมตร ก่อนที่จะกด start และออกวิ่งไปตามถนนสายเอเซียในทันที คร่ำคิดถึงเสียงเพลงที่กำลังกรอกหูระหว่างวิ่ง ใจหนึ่งก็ยินดีกับเสียงเพลงที่บดบังเสียงรถยนต์ที่วิ่งไปมา อีกใจก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าจังหวะเพลงของ Oscar Peterson มันช้ากว่า pace เป้าหมายของผมมากเกินไปรึเปล่า ในขณะเดียวกันที่หน้า Wall บน Facebook ของผม ก็มี notification ให้เพื่อน ๆ ทางกายภาพที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก ได้รู้ว่าเช้านี้ผมได้ออกกำลังกายอีกวัน การประกาศได้หลาย ๆ คนรับรู้กิจกรรมที่รบกวนเวลานอนของผมนั้น เป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งที่คอยผลักดันให้ผมตื่นขึ้นมาได้ในวันต่อ ๆ ไป

ผมวิ่งผ่าน Big C สาขาที่ขายดีที่สุดในประเทศ ก่อนจะไปกลับตัวที่หน้าบ้านที่กำลังจะเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดหลังหนึ่งในปัตตานีด้วยพื้นที่ใช้สอยกว่า 2,000 ตารางเมตร โค้ชก็ส่งเสียงเตือนผมมาแบบเรียบ ๆ “You are behind your target pace 45 seconds” อืม Oscar Peterson ทำให้เราวิ่งช้าจริง ๆ เวลาผ่านไปเพียง 15 นาที เรายังทำความเร็วเพิ่มได้อีก ผมหาข้ออ้างในใจ เกือบ 7 โมงเช้าแล้ว ลูก ๆ ของผมคงตื่นแล้ว จะมีใครแวะเข้ามาดูว่าผมอยู่ที่ไหนรึเปล่าเนี่ย Runkeeper คุยกับระบบดาวเทียม GPS ระบุพิกัดของผม และส่งตำแหน่งปัจจุบันแบบสด ๆ ไปในหน้าเวปของผม ที่ลูก ๆ สามารถเข้ามาดูได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งใช้ข้อมูลในการคำนวณระยะทาง ความเร็ว และ pace ส่งให้โค้ชคอยเตือนผมเหมือนเมื่อเสี้่ยววินาทีที่ผ่านมา

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วผมวิ่งข้ามทางม้าลายสุดท้าย จากนี้เป็นทางตรงเข้าสู่โรงแรมซีเอสปัตตานี บ้านผมอยู่ที่นั่น “50 minutes distance 8.87 kilometers average pace 5:48 minutes. You are behind your target pace 18 seconds” ไอ๊หยา จะไปทันได้ไงเนี่ย ผมคิดในใจ เสียงเพลงเปลี่ยนไปเป็น Black Eyes Peas จังหวะกระชับ แต่ขาผมไม่อยากทำตามคำสั่งผมอีกต่อไป หิวน้ำมาก ๆ ร่างกายผมบอกอย่างนั้น ผมค่อย ๆ เลี้ยวเข้าสู่บริเวณหมู่บ้านออมทอง 55 minutes เสียงสวรรค์จาก iPhone 4s ผมตัดสินใจเดินเพื่อ warm down และไม่ได้ยินอะไรต่อ ๆ ไปที่โค้ชพยายามบอกผมต่อจากนั้น ในที่สุด “1 hour” เสียงแว่ว ที่ผมรอคอย ผมรีบถอดปลอกแขน และเอื้อมไปกดปุ่ม Stop ที่หน้า app Runkeeper พยายามไม่ฟังสรุปผลที่พยายามเตือนผมว่า 6:02 นาทีต่อกิโลเมตรนะที่ผมทำได้ ในขณะเดียวกัน ผมก็พิมพ์ข้อมูลเพื่อบันทึกการออกกำลังกายวันนี้ “1:47 half marathon. I’m after you.” เป้าหมายที่แท้จริงของผม 5:30 เป็นระยะทาง 21 กิโลเมตร
ผมขยับขาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้ app Fleetlyทันทีที่เปิดขึ้นมาก็ได้ชื่นใจ “วันนี้คุณได้ 38 คะแนน ตอนนี้คุณแซง Amber C. ในตารางคะแนนรวมแล้ว” ถ้าหากว่าผมจะแปลเป็นภาษาไทย นั่นหมายความว่าข้อมูลจาก Runkeeper ส่งเข้าไปถึง Fleetly เรียบร้อยแล้ว ผมเลือก Stretching Exercise แล้วทำตามรายการที่มีมาให้ เมื่อเสร็จสิ้น Fleetly ให้คะแนนผมเพิ่มอีกหนึ่งคะแนน ด้วยความพึงพอใจ ผมหยิบ iPhone 4s เข้าบ้าน แล้วมุ่งหน้าไปอาบน้ำ

เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ก็ลงมาหน้าโต๊ะทำงาน เพื่อที่จะเห็น 6 updates ที่ไอคอน Facebook ของผม เพื่อน ๆ ผมเริ่มตื่นกันบ้างแล้ว ผมเข้าไปทักทาย เล็กน้อย ก่อนที่จะเปลี่ยนเข้าไปดูหน้าเวปของ Runkeeper เพื่อตรวจสอบผลรวมของการออกกำลังกายทั้งสัปดาห์ของผม อืม เมื่อเช้านี้เป็นระยะทางที่ยาวที่สุดในสัปดาห์ นานที่สุดในสัปดาห์ ไม่เลวเลยทีเดียว แม้ว่าจะช้าไปหน่อย ผมแอบเหลือบไปเห็นเพื่อนของผม log การออกกำลังกายก่อนหน้าผมไปแล้ว เมื่อคืนที่ผ่านมา 18 events ในเดือนนี้ นำหน้าผมอยู่ 2 events ผมคิดในใจเดือนนี้คงตามไม่ทัน แต่ก็แอบดีใจว่ามีเป้าหมายให้พุ่งชนมันดีกว่าเป็นผู้นำอยู่คนเดียว

2 ชั่วโมงแรกของผมในวันนี้ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมองย้อนกลับไป ทำให้ผมนึกถึงประโยคหนึ่งในเรื่อง Matrix ภาพยนต์เรื่องโปรดของผมเรื่องหนึ่ง มอเฟียส ได้พูดไว้ว่า “It’s different between knowing the path and walking the path.” นี่เรากำลังจะเห็นการเกิดขึ้นของ The Matrix อยู่หรือไม่ ผมกำลัง walking the path แล้ว plugging in and out กับเจ้า Matrix อยู่หรือเปล่า ว่าแล้วผมก็เอื้อมมือไปหยิบ iPhone 4s ปล่อยให้ notification ของ Facebook ที่เพื่อนผมบางคนคงเริ่มตอบกลับมาค้างไว้อยู่อย่างนั้น ขณะที่ในใจก็พลางคิดว่า เอาไว้ค่อยไปตอบตอนกินข้าวเข้าก็แล้วกัน

Recycle Now!

วันนี้ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมพิธีเปิด Eco-Library ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน พื้นที่ห้องสมุดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าใช้ มีปริมาณหนังสือไม่มากไม่น้อยไปกว่าห้องสมุดชุมชนตามจังหวัดใหญ่ ๆ ทั่วไป การตกแต่งภายใน และหนังสือบางส่วนเน้นย้ำสิ่งที่ ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต หนึ่งในหัวเรือใหญ่ในการก่อตั้งห้องสมุดแห่งนี้ พยายามสื่อสารให้กับสาธารณะชนได้ตระหนัก Recycle Now!

เช่นเดียวกับธุรกิจอื่น ๆ ที่เริ่มต้นโดย อาจารย์สิงห์ Eco-Library อาจจะไม่ได้ช่วยลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้นในปริมาณที่สามารถวัดได้ เมื่อเทียบกับปริมาณขยะที่มนุษย์เราสร้างขึ้นในแต่ละวัน แต่ความมุ่งมั่นที่จะสร้าง awareness และ แสดงตัวอย่างความเป็นไปได้ในการสร้างธุรกิจจากเศษขยะ ที่ไม่ใช่ธุรกิจพื้นฐานอย่างเช่น ธุรกิจรับซื้อ รีไซเคิล หรือทำลาย แต่เป็นธุรกิจสร้างสรรค์ ในการทำผลิตภัณฑ์จากเศษสิ่งของเหลือใช้ให้กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์และของใช้ตกแต่งในบ้าน อาจารย์สิงห์ สามารถโหนกระแส หรืออาจจะเป็นผู้สร้างการแส ของการรีไซเคิลในวงการธุรกิจของเมืองไทย ผ่านโครงการหลากหลายโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และได้รับการตอบสนองอย่างดีจากภาคเอกชน แน่นอนว่าแม้ในระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ จะได้รับความสนใจจากผู้คนในวงกว้าง ปริมาณขยะที่ลดลงจากโครงการทั้งหมดก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับปริมาณขยะที่เราสร้างขึ้นในแต่ละวัน แต่ทุกการเดินทางต้องมีจุดเริ่มต้น และนี่เป็นการก้าวย่างแรกที่มั่นคงแข็งแรง

โอซิซุ แบรนด์สินค้าที่ใช้วัสดุเหลือใข้เพื่อทำมาเป็นเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ตกแต่งในบ้าน ที่อาจารย์สิงห์ร่วมกันสร้างกับหุ้นส่วนได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มีสินค้าใหม่ ๆ วัสดุหลากหลาย ออกสู่ท้องตลาดอย่างสม่ำเสมอ โครงการลดขยะ รีไซเคิล ผ่านงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล นอกจากจะสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากเศษขยะเหลือใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ยังช่วยเปิดมุมมองกับนักธุรกิจในการช่วยรักษาสภาพแวดล้อมในขณะที่มีรายได้เกิดขึ้นจากความพยายามดังกล่าว นักศึกษาที่ผ่านการเรียนรู้จากอาจารย์สิงห์ เริ่มเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันต่าง ๆ ของสังคม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์สินค้าใหม่ ๆ สร้าง awareness ต่าง ๆ ไปจนถึงความพยายามล่าสุดที่ใช้วัสดุรีไซเคิลในงานตกแต่งภายในของร้าน Scrap Shop ร้านค้าที่ขายสินค้าจากห้องวิจัยรีไซเคิลของอาจารย์สิงห์เอง ไปจนถึงการตกแต่งภายในของ Eco-Library แห่งนี้

พิธีเปิดห้องสมุดเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความยิ่งใหญ่และได้รับความสนใจจากผู้คนจากหลากหลายสาขาอาชีพ เมื่อได้เห็นความสนใจของสาธารณะชนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอนเซปของพื้นที่สาธารณะ ความสนใจต่อส่วนประกอบของห้องสมุดที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์ตกแต่งทั้งหมด ที่ล้วนแล้วแต่่ผ่านการถูกทอดทิ้งก่อนที่จะมาถูกชุบชีวิตจนมีสีสันที่ใคร ๆ ก็ไม่สามารถอดใจยื่นมือเข้าไปสัมผัส เพ่งมองพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์ว่าในอดีตสิ่งเหล่านี้ ได้เคยผ่านชีวิตในหน้าที่อย่างไรมา ปรากฎการณ์วันนี้สร้างความหวังให้กับอนาคตที่น่าจะเรียกได้ว่าน่าจะสดใสกว่าวันนี้ อย่างไม่ต้องสงสัย

ผมได้มีส่วนเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนี้ ในฐานะฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ที่สนับสนุนเก้าอี้ที่เตรียมจากเศษยางรถยนต์บรรทุกที่ผ่านใช้งานจนหมดอายุขัย ผลิตภัณฑ์ที่เริ่มจากความเป็นคนรู้จักห่าง ๆ ผ่านนักศึกษาในความดูแลของอาจารย์สิงห์คนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว วัสดุจากเศษยางรถยนต์บรรทุกได้ถูกเตรียมขึ้นโดยอาศัยเทคนิคการประสานด้วยพอลิยูริเทน พอลิเมอร์ประเภทหนึ่งในจำพวกเทอร์โมเซท ที่มีความยืดหยุ่นในการออกแบบมากที่สุดประเภทหนึ่ง จากวัสดุชิ้นเล็ก ๆ ที่หยิบยื่นให้กับอาจารย์สิงห์ เพื่อเป็นโจทย์ในการออกแบบเพื่อการใช้ประโยชน์ อาจารย์สิงห์ใช้เวลาไม่นานนัก เก้าอี้จากเศษยางรถยนต์บรรทุก ที่มีชื่อน่ารัก ๆ ว่า Canele’ ก็ถือกำเนิดขึ้นบนแผ่นกระดาษ และกลับกลายมาเป็นโจทย์ให้กับผมเองในการที่จะ frabricate วัสดุนี้ให้เป็นไปตามความฝันของอาจารย์สิงห์ ซึ่งผมต้องออกตัวว่าไม่ใช่งานที่ง่ายเลยทีเดียว

จากวัสดุที่ถูกพัฒนามาเพื่อเตรียมผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบเป็นสองมิติ กลับถูกตีโจทย์ใหม่ให้มีการขึ้นรูปในลักษณะที่เป็นสามมิติ นับจากวันที่เริ่มรับโจทย์จนมาถึงวันนี้ที่เจ้า Canele’ บางส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ Eco Library นี้ มีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถขึ้นรูปได้ตามที่อาจารย์สิงห์ได้ออกแบบมา แต่นั่นก็เป็นเพียงการขึ้นรูปตามขนาดที่ได้ออกแบบมาเท่านั้น ยังมีปัญหาที่เหลืออีกหลายส่วนกว่าที่ผมจะตีโจทย์ข้อนี้จากอาจารย์สิงห์ได้ทั้งหมด มันช่างเป็นงานที่สนุกท้าทายมากจริง ๆ (คลิปการเตรียม Canele’)

ขอบคุณอาจารย์สิงห์ที่ส่งโจทย์มันส์ มาให้เล่น ขอบคุณนักศึกษาทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางครั้งนี้ การเดินทางยังไม่สิ้นสุด ขอบคุณทุกคำสบวิจารณ์ ความไม่เป็นวิทยาศาสตร์ของโครงการ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงงานวิทยาศาสตร์ ผมเองคงไม่เข้าใจว่าความเป็นวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นเพียงกระบวนการวัด เก็บ บันทึก ข้อมูลเพื่อสะสมปริมาณข้อมูลที่แทบไม่มีส่วนในการแก้ไขปัญหาใด ๆ เลย มันน่าเบื่อเท่าใด และการแก้ไขปัญหาสนุก ๆ โดยใช้ทักษะ กระบวนท่าทั้งทางวิทยาศาสตร์และอื่น ๆ ที่มีค่อยจะวิทยาศาสตร์มันให้ผมมากกว่ามากเพียงใด

Embody Experience


เมื่อพูดถึงเก้าอี้ที่ถูกออกแบบตามหลัก Ergonomic ไม่มีชื่อใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า Bill Stumpf ในปี 1995 ที่เขาให้กำเนิด Aeron Chair ที่ปัจจุบันกลายเป็นเก้าอี้ทำงานที่ใคร ๆ ก็ใฝ่ฝันหา ใช้เวลากว่า 14 ปี กว่าที่ Hermann Miller จะกล้าพอที่จะออกเก้าอี้ทำงานออกมาเทียบเคียงกับ Aeron แม้ว่า Bill Stumpf จะได้เสียชีวิตไปก่อนที่จะได้เห็นการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่ของ Embody Chair Jeff Weber ซึ่งสานงานต่อเนื่องมาจากเป้าหมายที่มากไปกว่าสิ่งที่ Aeron Chair ได้เคยทำไว้เก้าอี้ทำงานที่ไม่เพียงแต่ถูกหลัก Ergonomic เท่านั้น เก้าอี้ทำงานตัวนี้ต้องทำให้เกิด positive effect ต่องานของคุณด้วย

ผมไม่รู้ว่าจะโชคดีหรือไม่ที่มีหลังที่อ่อนแอด้วยโรคกระดูกสันหลังเสื่อมที่คุกคามผมมากว่า 10 ปีหลังจากอุบัติเหตุยกของหนัก และภรรยาที่เข้าใจเนื่องด้วยเธอเองก็เคยประสบอุบัติเหตุกระดูกสันหลังจนต้องกายภาพบำบัดตั้งแต่ยังเยาว์วัย แม้ว่าผมจะใช้ที่นอนยางพาราที่ดีที่สุดในโลก ปาเทกซ์ รองรับหลังผมอย่างน้อย ๆ 6 ชั่วโมงต่อวัน แต่ด้วยภาระงานที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์กว่าวันละ 10 ชั่วโมง ก่อนที่ผมจะมีอายุขึ้นเลขสี่และต้องนั่งรถเข็น ผมก็ได้เจ้า Embody Chair ตัวนี้เป็นของขวัญวันเกิด

Embody ตัวนี้เดินทางมาจากต่างประเทศ ข้ามน้ำข้ามทะเล ก่อนที่จะมาขึ้นรถสิบล้อจาก กทม. มาสู่ปัตตานีบ้านเกิดของผมอีกต่อหนึ่ง ด้วยราคาสินค้าที่สูงเกินกว่าจะบรรยายได้ ณ ที่นี้ และความคุ้นเคยกับการสั่งสินค้าจาก

แอปเปิ้ลสตอร์ที่ส่งของมาจากเมืองจีน บรรจุภัณฑ์ที่มากับเก้าอี้ Hermann Miller ถือว่าไม่ผ่านอย่างแรง ถ้าหากว่าใครเป็นคนจู้จี้สักหน่อยอาจจะไม่ค่อยสบายใจเอาเสียเลยเมื่อเห็นสภาพบรรจุภัณฑ์ที่เดินทางกว่าพันกิโลเมตร และคงตรวจสอบหาตำหนิที่น่าจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากนักโดยสภาพการหีบห่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาที่หลาย ๆ คนร้องเรียนเต็มอินเตอร์เนท ก็คือล้อที่เสียหาย ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ยากเท่าไรนัก เพราะเก้าอี้จะถูกวางอยู่บนกล่องขนาดใหญ่ที่ดูน่าโยนเป็นอย่างมาก โชคดีที่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดกับเก้าอี้ของผม อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าบรรจุภัณฑ์จะเลวร้ายจนถึงที่สุด เก้าอี้จะถูกห่อด้วยพลาสติกอย่างดี บริเวณที่จะมีโอกาสถูกกระทบกระทั่งได้ง่าย เช่น บริเวณที่วางแขน ขาเก้าอี้ ก็จะมีสติกเกอร์หุ้มไว้อีกชั้น แต่สภาพกล่องที่ดูบึกบึน และเก้าอี้ทำงานที่หนักที่สุดที่คุณจะเคยพานพบมา Embody น่าจะถูกโยนกระแทกพื้นได้ง่าย ๆ และอาจเป็นต้นเหตุของล้อเสียหายที่ว่า

ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เมื่อเปิดกล่องเรียบร้อย ผมก็กระโดดลงนั่งทันที ไม่สนใจว่าวิธีปรับมันเป็นอย่างไร สัมผัสแรกที่ได้นั่งลงบนเจ้า Embody ก็รู้สึกดีใจที่เลือกตัวนี้แทนที่จะเป็น iconic Aeron chair เพียงเพราะ ตาข่ายพลาสติกของ Aeron chair นั้นค่อนข้างจะกระด้างเมื่อเทียบกับ ผ้าหุ้มของ Embody แม้ว่าผมจะไม่ได้ลงทุนอัปเกรดเนื้อผ้าเป็นรุ่นที่ควรจะนุ่มสบายไปกว่านี้ โดยเฉพาะเมื่อการทำงานที่บ้านส่วนใหญ่ผมจะใส่เพียงบอกเซอร์เพียงตัวเดียว สัมผัสที่ว่าผ่านต้นขาด้านหลัง และแผ่นหลังอันเปลือยเปล่านับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง Embody ใช้แนวความคิดเดียวกันกับ Aeron นั่นคือไม่ใช้โฟมรองรับร่างกายใด ๆ ทั้งสิ้น เลือกที่จะใช้ membrane ที่ระบายอากาศได้แทนที่ นอกจากนี้ระบบการรองรับร่างกายของเก้าอี้ทั้งสองประเภทนี้เรียกว่า topographically neutral suspension ที่อ้างว่าจะสามารถเข้ากับรูปร่างของผู้นั่งได้หลากหลายกว่าระบบรองรับด้วยโฟม ร่วมกับเทคโนโลยีที่เรียกว่า Pixelated Support จะทำให้ผู้นั่งมีความรู้สึกว่าลอยล่องอยู่กลางอากาศ (ซึ่งนั่นก็เวอร์เกินไป) สัมผัสแรกที่ผมได้นั่งคือ นุ่มสบายดี บริเวณเบาะนั่ง

และผนักพิงเข้ารูปได้ดีกับก้นและหลังของผม ไม่ว่าจะขยับไปทางไหน ผมถือว่าเทคโนโลยีนี้ทำงานได้ดีครับ พ่วงด้วยการระบายอากาศ ผมมั่นใจว่าถ้าพูดกันเพียงแค่การสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นแรงดันผิวสัมผัส หรือการระบายอากาศรวมไปถึงความร้อนตามผิวสัมผัส คุณจะไม่มีวันเจอเก้าอี้ตัวใดทำได้ดีไปกว่า Embody แน่นอนครับ

การออกแบบเก้าอี้ตัวนี้ เข้ากับยุคสมัย iT ที่ออกแบบสำหรับการใช้นั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ซึ่งเป็นงานของผมเลย อย่างไรก็ตาม หลักการในการออกแบบนั้น แตกต่างไปจากเก้าอี้ทำงานหลาย ๆ รุ่น นั่นก็คือ หลักการการใช้งานเก้าอี้ตัวนี้คือการใช้พนักพิงเพื่อรองรับหลังตลอดเวลาในท่าที่ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้หลังตั้งตรง พนักพิงมีหน้าที่

หลักในการถ่ายน้ำหนักร่างกายออกจากส่วนก้นของเรา ซึ่งเป็นการออกแบบที่โยนความรับผิดชอบไปให้กับพนักพิงมากที่สุดเท่าที่เคยพบมา ในขณะที่ข้อแนะนำในการนั่งที่ถูกหลักกายภาพที่แนะนำโดยหนังสือหลาย ๆ เล่มที่เขียนโดยแพทย์กระดูกนั้น จะมีหลักการให้นั่นหลังตรงที่สุดโดยให้น้ำหนักตัวตกลงบนก้น และให้หลังเป็นรูปตัวเอสตามธรรมชาติเหมือนกับท่ายืนของเรา แนวโน้มของหลักการทางการแพทย์นี้คือให้เรานั่งโดยมีส่วนก้นอยู่สูงกว่าเข่าเล็กน้อย แต่ Embody เน้นให้หน้าขาตั้งราบขนานกับพื้น และหลังมีแนวโน้มที่จะถ่ายน้ำหนักไปด้านหลังโดยมีพนักพิงรองรับทั้งหมด ใครก็ตามที่ปรับตัวกับการนั่งตามหมอสั่งจะพบว่าเก้าอี้ตัวนี้มีท่านั่งที่ไม่คุ้นเคยเลยเสียทีเดียว ความรู้สึกแรกของผมก็รู้สึกสบายดี แต่ระยะยาวนั้นยังไม่ทราบ

Aeron ก็มีหลักการคล้าย ๆ กันในการกระจายน้ำหนัก อย่างไรก็ตามยังให้อิสระในการปรับระดับเบาะนั่งให้เทไปด้านหน้าตามคำแนะนำของแพทย์ได้ แต่ Embody จะไม่สามารถทำได้เลย นอกจากจะให้ต้นขาที่ขนานกับพื้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และถ่ายน้ำหนักไปยังแผ่นหลัง ซึ่งเจ้าแผ่นรองรับหลังที่ดูคล้าย ๆ กระดูกสันหลังของ Embody จะรองรับและปรับตัวเข้ากับแผ่นหลังของเราไม่ว่าเราจะขยับตัวอย่างไร และมันสามารถทำได้ดีมากเลยจริง ๆ ครับ และต้องยกนิ้วให้ว่าระบบนี้รองรับแผ่นหลังได้ดีกว่า Aeron ที่มีเพียง Lumbar Support ที่ปรับระยะได้ เท่านั้น แต่ขณะที่ Embody สร้าง S-shape curve ของหลังได้ดีมาก พร้อมทั้งปรับความแข็งของการรองรับ และความหนืดในการเอนหลัง ร่วมก้บการปรับรูปแบบการแ

อ่นตัวของ S-curve ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งหมดนี้จะต้องใช้ลูกบิดปรับ friction ทั้งสองลูก ช่วยในการ adjust เพี่อที่จะได้ความหนืด S-curve และความแข็งในการรองรับที่คุณต้องการ ซึ่งผมถือว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของระบบนี้ ข้อดีก็คือว่าเราปรับได้อย่างไม่สิ้นสุด แต่ข้อเสียคือความสัมพันธ์ของระบบการปรับทั้งสองนั้น ปรับอย่างหนึ่งจะทำให้อีกอย่างเปลี่ยนไปด้วย ต้องปรับไปมาอยู่หลายเที่ยวกว่าจะลงตัวจริง ๆ ผมยังรู้สึกว่าโดยเทคโลโลยีและความเป็นผู้นำทางเก้าอี้ Ergonomic Hermann Miller น่าจะสามารถทำให้การปรับทั้งทั้งสองระบบเป็น independent กันได้นะ ผมรู้สึกอย่างนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ

แน่นอนว่าเก้าอี้ราคานี้ย่อมสามารถปรับความสูงและกำหนดระดับการเอนหลังได้ (tilt limiter) และอื่น ๆ ที่คุณจะควรคาดหวังจากเก้าอี้ Hi-End ทั่วไป และ Embody มีให้คุณอย่างครบถ้วน แต่การที่มีเก้าอี้ขนาดเดียวแทนที่จะมีสามขนาดเหมือนอย่าง Aeron อาจจะทำให้คนที่มีความสูงผิดปกติมาก ๆ อาจจะใช้งาน Embody ได้ไม่ดีเท่า Aeron ก็เป็นได้ ส่วนผมเองด้วยความสูง 171cm เรื่องนี้ไม่

เป็นปัญหา Tilt Limiter ของ Embody ปรับได้เพียงสี่ระดับ ผมมีความรู้สึกว่าน้อยเกินไป มีความรู้สึกหงุดหงิดเวลาต้องการปรับในระยะประหลาด ๆ ที่ผมต้องการ อย่างไรก็ตามคาดว่าวิธีการใช้เก้าอี้คงไม่ได้เจตนาให้ทำแบบนั้น ผมใช้วิธีการปรับความหนืดของการเอนหลังให้ฝืดขึ้น ความรู้สึกที่ต้องการก็เกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้ Tilt Limiter เลยจริง ๆ

สิ่งหนึ่งที่ใช้เทคโนโลยีไม่มากแต่เก้าอี้ตัวอื่นไม่ค่อยทำกันนั่นคือที่วางแขน Embody สามารถปรับทั้งสูงต่ำและความกว้างแคบของที่วางแขนได้แบบไม่มีข้อจำกัดเลยทีเดียว สูงต่ำข้างละเก้าระดับ กว้างแคบอีกข้างละสี่ระดับ การปรับสะดวกเพียงแค่ดันเข้าออก ขึ้นลง (รวมกดปุ่มนิดหน่อย) ทำให้การปรับที่วางแขนทำได้ง่าย และสามารถทำได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการ ผมปรับเปลี่ยนแทบจะทุก ๆ สิบนาทีเลยทีเดียว ตามอริยาบทที่เปลี่ยนไปเวลานั่งทำงาน ไม่ว่าจะเป็นท่ามือซ้ายท้าวคาง (ยกที่วางแขนซ้ายสูงสุด) มือขวาไถ track pad (ที่วางแขนขวาระดับโต๊ะ) หรือ อื่น ๆ อีกมากมาย การออกแบบให้มีการปรับกว้างแคบ ร่วมกับ platform ในการวางแขนที่ใหญ่โต บนแผ่นโฟมนุ่ม ๆ ชนะการออกแบบของ Aeron อย่างขาดลอย ที่ใช้โฟมที่แข็งกว่า platform เล็กกว่า และเลือกที่จะใช้วิธีการบิดซ้ายขวาแทนการปรับเข้าออก ที่วางแขนผมถือว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้เกิดท่านั่งที่เหมาะสม และห่างไกลจากพฤติกรรมที่ติดตัวมาชั่วชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการท้าวคาง ยกไหล่ อีกทั้งจะยังช่วยรองรับแขนในระดับที่ต้องการ ลดความเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานเป็นระยะเวลานานได้ดี ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเก้าอี้หลายรุ่นจึงไม่ค่อยเน้นการปรับเปลี่ยนตรงจุดนี้

สิ่งหนึ่งที่น่าจะเลียนแบบกันได้ยากที่สุดคือ Embody สามารถปรับความลึกของเบาะนั่งได้ เนื่องจากเบาะไม่ได้ทำจากโฟม แต่เป็นเพียงผ้าที่ขึงอยู่บนแผ่นรองรับที่มีหน้าตาคล้าย ๆ กับ pocket spring ที่ว่าอยู่บนสะพานขึงอีกที ด้วยระบบนี้ทำให้ เบาะนั่งสามารถปรับความลึกเข้าออกได้เป็นระยะที่มากพอสมควร คราวนี้เป็นการออกแบบที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับผมครับ เก้าอี้ตัวที่ผ่านมาทุกตัวมีความลึกของเบาะที่มากเกินกว่าต้นขาของผมจะรับได้ ทำให้ผมมีแนวโน้มที่จะนั่งแอ่นหลังกับเก้าอี้ทุก ๆ ตัว ซึ่งท้ายที่สุดผมต้องแก้ไขด้วยการใส่หมอนรองหลังหลายใบเพื่อให้ผมสามารถนั่งได้อย่างถูกสุขลักษณะ แต่สำหรับ Embody ไม่ต้องเลยครับ ปรับนิดเดียว “เอาอยู่” Aeron แก้ไขปัญหานี้ด้วยขนาดเก้าอี้สามขนาด ซึ่งในตัวที่ผมลองก็พอดีตัวครับ ถึงปรับไม่ได้แต่ก็พอดีอยู่แล้ว Embody ไม่มีพนักพิงศีรษะครับ ไม่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม เพราะผมไม่ค่อยพิง และไม่เคยนั่งหลับบนเก้าอี้ ส่วนนักฟังเพลงที่คิดจะใช้ Embody มานั่งฟัง อาจจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน (แต่ผมว่าถ้านั่งฟังเพลง ผมเลือก Recliner ดีกว่า สบายกว่า อิอิ)

สุดท้ายที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อนเลย แต่ผมพบว่าเป็นการออกแบบที่ชาญฉลาดครับ ปัญหาที่เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา พนักพิงของ Embody มีลักษณะที่มีการคอดเข้าในช่วงกลาง ๆ ครับ เพื่อรองรับการขยับตัวโดยเฉพาะช่วงแขน ไม่ว่าจะเป็นการพักแขนจากการพิมพ์ การบิดขี้เกียจ หรือการยืดเส้น พนักพิงที่ถูกออกแบบมาอย่างดีที่จะแนบติดกับหลังคุณตลอดเวลานั้น ไม่เคยมีสะดุดกับส่วนหนึี่งส่วนใดของแขน ศอก ของคุณเลย มันทำให้มีความรู้สึกอิสระ โล่ง และบางครั้งรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่กลางอากาศจริง ๆ

สุดท้ายถ้าจะถามว่าควรซื้อมั้ย ผมคงตอบให้ไม่ได้ครับ แต่จะบอกถึงการตัดสินใจของผมระหว่าง Aeron กับ Embody ไว้อย่างนี้ จำไว้ในใจก่อนนะครับว่า Embody ราคาสูงกว่า Aeron เกือบ ๆ สองเท่่า ผมจะแนะนำให้คุณซื้อ Aeron ถ้าหากว่า

  1. คุณใส่เสื้อผ้านั่งทำงานสม่ำเสมอ
  2. คุณมีโอกาสได้ลอง Aeron ทั้งสามขนาดและมีขนาดใดขนาดหนึ่งเข้ากับรูปร่างของคุณอย่างพอดี
  3. คุณไม่เป็นโรคกระดูกสันหลัง และไม่สามารถสัมผัส ถึงความแตกต่างระหว่างพนักพิงของ Aeron และ Embody
  4. คุณไม่ได้นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือนั่งทำงานน้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อว้น
  5. คุณต้องถามตัวคุณเองว่ามันคุ้มหรือไม่ เพราะที่ระดับราคานี้ law of dimishing return เริ่มเข้ามามีผลเยอะแล้วครับ
  6. คุณไม่มั่นใจว่าของเขาดีจริง เพราะยังไม่ได้ผ่าน test of time อย่างเช่น Aeron และคุณยังไม่เคยเห็นเก้าอี้ตัวนี้ในบ้านใครเลยในนิตยสารบ้านชั้นนำทั่วประเทศ
ถ้าหากว่าคุณผ่านทั้งหกข้อนี้ เชิญเลยครับ Embody มีให้เลือกหลากสีสัน ไม่ใช่ตราบใดที่ยังเป็นสีดำเหมือน Aeron เฟรมมีสีขาวและดำ ฐานล้อมีสามแบบไททาเนียม ดำ และโครเมียม เนื้อผ้ามีสองประเภทนุ่มและนุ่มกว่า พร้อมกับสีให้เลือกเยอะมาก ไปหา combination กันเอาเองครับ ผมเลือกสีที่มีในหนังสือมากที่สุด เพราะคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไป Embody ก็จะกลายเป็น iconic chair ในระดับเดียวกันกับ Aeron ได้อย่างไม่ขัดเขิน และสีนี้คือสีที่ Hermann Miller เลือกที่จะใช้เปิดตัวครับผม

วิธีเลือกรองเท้าวิ่ง

สำหรับคนที่ไม่เคยวิ่งแต่อยากจะเริ่มวิ่งอย่างสม่ำเสมอ การเลือกรองเท้าให้เหมาะสมเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวเสียจริง ๆ ถ้าต้องการวิ่งเล่น ๆ จะใช้รองเท้าแตะ  ผ้าใบนันยาง หรือรองเท้าเล่นเทนนิสก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่ถ้าอยากจะวิ่งเป็นจริงเป็นจังแล้ว การไปยืนอยุ่หน้าชั้นรองเท้าในห้างก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างไปจากการได้เห็นข้อสอบแคลคูลัสตอนยังไม่ได้อ่านหนังสือเสียทีเดียว รองเท้าว่ิงที่มีขายอยู่เกลื่อนตลาดในปัจจุบันถูกออกแบบให้ใช้กับรูปแบบการวิ่งที่ถือว่าเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน นั่นคือการวิ่งลงเท้าบริเวณกลางเท้าลงไปจนถึงส้นเท้า นั่นคือการออกแบบจะเน้นการรองรับบริเวณส้นเท้าเป็นหลัก ตามรูปแบบที่เรามักจะคุ้นตากันอยู่แล้ว โดยแต่ละยี่ห้อก็เข็นเทคโนโลยี และคำโฆษณามาโยนใส่กันด้วยระบบรองรับบริเวณนี้เป็นหลัก

แต่จริง ๆ แล้วการเลือกรองเท้านั้น ถ้าได้ผ่านขั้นตอนแรกไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป อย่างไรก็ตามเมื่อเท้าคนเราแตกต่างกันแม้กระทั่งเท้าคนละข้างของคน ๆ เดียวกัน การจะเลือกหารองเท้ายี่ห้อและรุ่นที่คู่ใจได้นั้น อาจจะต้องใช้ระยะเวลาหลายปีเลยทีเดียว แต่คู่แรกก็ไม่ต้องคิดมากครับ พยายามให้ดีที่สุดแล้วเป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากันใหม่ รองเท้าวิ่งมีอายุใช้งานที่จำกัด ไม่นานเกินรอเราก็ต้องหาซื้อใหม่แล้วครับ

อันดับแรกที่เราเลือกได้สำหรับการซื้อรองเท้าก็คือ รูปแบบของรองเท้าที่เหมาะสมกับรูปแบบของเท้าเราครับ เท้่าของคนเราแบ่งออกเป็นย่อย ๆ แบบง่าย ๆ ได้ 3 รูปแบบครับ คือ เท้าปกติ เท้าโก่ง หรือเท้าแบน คนที่มีเท้าปกติก็จะเป็นคนที่โชคดีกว่าคนอื่นครับ การเลือกรองเท้าก็ง่ายกว่าคนอื่น นั่นคืออยากใส่อะไรก็เชิญเถอะครับ จะตามแฟชั่น ตามกำลังเงิน หรืออยากจะเลือกของที่แพงที่สุดในห้างก็ไม่ว่ากัน อย่างไรก็ตามคำว่าเท้าปกตินั้นไม่ได้ปกติมากอย่างที่คิดนะครับ เพราะมีคนประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น (55%) ที่จะมีรูปเท้าแบบปกติ นอกจากนี้คนที่มีเท้าโก่ง หรือเท้าแบนก็มีทางเลือกที่เหมาะสมจำกัดหน่อยแต่มีแน่ ๆ ครับ ไม่ต้องห่วง ธุรกิจรองเท้ามีขนาดเป็นหมื่นล้าน เขาทำเพื่อคุณไว้แน่ ๆ

สำหรับคนเท้าโก่ง (High Arch) จะมีแนวโน้มในการลงเท้าบิดออกไปด้านนอก (under pronator)  ซึ่งเกิดกับคนประมาณ 5% ทำให้รองเท้าที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับคนกลุ่มนี้ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไร บริษัทรองเท้ามักจะใช้รองเท้าที่ออกแบบสำหรับคนเท้าปกติให้รองรับการใช้งานของคนกลุ่มนี้ไปด้วยในตัว และแน่นอนว่าบริษัทรองเท้าส่วนใหญ่จะออกแบบรองเท้าแต่ละรุ่นให้รองรับการใช้งานเป็นช่วงกว้าง ๆ อยู่แล้ว จึงไม่ต้องนึกน้อยใจจะว่าจะไม่ได้มีอะไรที่ถูกออกแบบเป็นพิเศษเพื่อเราเอง

 สำหรับคนเท้าแบนซึ่งมีจำนวนถึง 45% นั้นก็มีแนวโน้มในการลงเท้าบิดเข้าด้านใน โดยอาจจะบิดเข้าไม่มากนัก (over pronator) หรือ บิดเข้าเป็นอย่างมาก (severe over pronator) แน่นอนว่าสำหรับคนที่เท้าบิดเข้าเป็นอย่างมากก็จะมีให้เลือกได้ไม่มากนักแต่ก็ยังมี ส่วนเท้าที่บิดเข้าไม่มากนักมีทางเลือกให้มากพอ ๆ กับคนเท้าปกติเลยทีเดียว

วิธีการตรวจด้วยตัวเองอย่างง่าย ๆ เรียกว่า wet test คือ เอาเท้าแช่น้ำขึ้นมาเช็ดหมาด ๆ แล้วเหยียบลงบนกระดาษที่แข็งแรงสักหน่อย กระดาษหนังสือพิมพ์ก็พอใช้ได้ครับ แล้วเทียบรอยเท้าเรากับรูปด้านบน ก็จะได้รูปแบบเท้าเราคร่าว ๆ ที่ผมว่าใช้งานได้ดีเลยทีเดียวครับ แต่ถ้าใครยังคิดว่ามันยังยุ่งยากจนเกินไปทนอีกนิดครับ บริษัทรองเท้าใหญ่มีระบบช่วยเราหารุ่นของรองเท้าที่เหมาะสมกับเท้าเราเอาไว้ช่วยเราอยู่แล้วครับ ที่ผมอยากจะแนะนำก็ Asics และ  Nike

ระบบเลือกรองเท้าของ Nike ใช้ง่ายกว่า อย่างไรก็ตามรองเท้าที่ระบบที่เป็นเหมือนกล่องดำ มันก็แปลก ๆ อยู่นิดหน่อย ในขณะที่ระบบของ Asics จะแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของรุ่นต่าง ๆ ได้ดีกว่า และเห็นภาพรวมชัดกว่า ผมแนะนำได้เพียงสองยี่ห้อนี้เพราะเคยใช้รองเท้าอยุ่แค่สองยี่ห้อเท่านั้นครับ เนื่องจากการเลือกรองเท้านั้นยังมีรายละเอียดเล็ก ๆ อื่น ๆ เช่นรูปร่างของเท้า ลักษณะของนิ้วเท้า เป็นต้น ที่จะทำให้ในรองเท้ารุ่นที่เหมาะสมกับเท้าเรานั้นอาจจะไม่หลายรุ่น แต่ละรุ่นมีความพอดีกับเท้าเราได้ไม่เหมือนกัน ในขั้นต้นก็คงต้องลองอย่างเดียวแล้วเลือกไปใช้ครับ ถ้าไม่ถูกใจมีเงินก็เปลี่ยนรุ่นใหม่ ถ้าไม่มีไม่ใช่เรื่องใหญ่มากรอจนอยากเปลี่ยนแล้วค่อยเปลี่ยนก็ได้ สุดท้ายเมื่อเจอที่ถูกใจก็ใช้มันรุ่นเดียวนั่นแหละครับ เขาจะออกปีใหม่ ๆ มาทุกปีเป็นระยะเวลานานกว่าจะเลิกไปแล้วเราก็ต้องเลือกรุ่นกันใหม่

สุดท้ายเวลาจะไปเลือกซื้อก็ใช้วิธีแบบนี้ครับ ค้นคว้าในเวป เช่น สองเวปที่ผมให้มา จดชื่อรุ่นที่เหมาะกับรูปแบบเท้าของเราไว้ เช่น Nike มีสี่รุ่น ก็จดไว้ให้หมด Asics มีอีกสี่รุ่นก็จดไว้ให้หมดเช่นกัน อย่าดูถูกนะครับ ร้านรองเท้าเมืองไทย stock ของไว้น้อยมาก โอกาสจะหารุ่นและขนาดเท้าเราได้มีไม่มากนัก ครับ เมื่อเข้าร้านก็ขอลองมันทุกรุ่นเลยครับ ขอให้มั่นใจว่าเรารู้ขนาดเท้านะครับ รองเท้าที่ฟิตดี ๆ มันจะพอดีเป๊ะครับ หัวไม่รัด มีพื้นที่เหลือที่ปลายนิ้วเท้าเล็กน้อยแทบจะหยิบได้ไม่เกินครึ่งหัวแม่โป้งมือ แนะนำให้ลองรองเท้าช่วงเย็น ๆ ที่เท้าจะขยายที่สุดของวัน เมื่อได้ลองทุกรุ่นในขนาดเท้าของเราแล้ว มันจะเหลือไม่กี่รุ่นครับ ที่จะฟิตกับเท้าเรามากกว่ารุ่นอื่น ๆ เท่านี้เราก็เลือกกันตามแฟชั่น หรือกำลังเงินจากตัวเลือกที่เหลือได้แล้วครับ

การใช้ระบบปฎิบัติการวินโดส์บนเครื่องแมค


คำถามแรกของหลาย ๆ คนที่เริ่มสนใจจะย้ายมายังค่ายแมค คือ เราจะต้องทำอย่างไรกับชีวิตบนโลกคอมพิวเตอร์ที่สร้างไว้บนวินโดส์ ตลอดระยะเวลานับสิบปีที่ผ่านมา คำตอบง่ายที่สุดก็คือ ย้ายทุกอย่างมาด้วยกันเสียเลย

ในเครื่องแมค และระบบปฏิบัติการ OSX มีทางเลือกสำหรับคำถามข้อนี้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว ยิ่งถ้าเป็นเมื่อสักสองปีที่แล้วในเวปของแอปเปิ้ลจะมีลิงค์ที่พูดถึงการย้ายค่ายโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันข้อมูลเหล่านี้จะซ่อนอยู่ในหน้า Why you’ll love a Mac ซึ่งถ้าเข้าไปดูจะพบว่าในปัจจุบันการย้ายค่ายเป็นเรื่องง่ายเข้าไปกว่าเดิม อย่างไรก็ตามบทความนี้เราจะยกวินโดส์มาทั้งดุ้นกันก่อนแล้วต่อ ๆ ไปเราค่อยมาคุยกันเรื่องการปรับตัวเข้าสู่ แมค ทั้งระบบทีละเล็กทีละน้อย

วิธีที่เมื่อก่อนแอปเปิ้ลแนะนำให้ใช้ก็คือการใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Boot Camp แถมมาพร้อมกับแมค Boot Camp เป็นโปรแกรมประเภทบริหารพาติขั่นหรือบูธพาติชั่น ข้อดีของการใช้วิธีนี้คือ แต่ละระบบปฏิบัติการจะได้ใช้ทุกส่วนของเครื่องแมคอย่างเต็มที่ จะได้ศักยภาพการใช้งานของเครื่องแมคตามที่ได้ออกแบบมาโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามจากความเคลื่อนไหวของแอปเปิ้ล ณ เวลานี้ การใช้ Boot Camp เริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ และคาดว่าในอนาคตอาจจะไม่สามารถใช้งานได้ตามที่ต้องการอีกต่อไป ยกตัวอย่างเช่น วินโดส์ที่ใช้งานกับ Boot Camp ได้ต้องเป็น XP(sp2) ขึ้นไปเท่านั้น หรือ ถ้าใครต้องการใช้วินโดส์บน MacBookAir ตอนนี้ต้องเริ่มที่ Windows 7 เป็นต้นไป เป็นต้น รายละเอียดเกี่ยวกับการใช้งาน ข้อจำกัดเกี่ยวกับการใช้ Boot Camp เพิ่งถูกแก้ไขเมื่อปลายปี 2011 บนเวปของแอปเปิ้ลเองในบทความชื่อว่า Mac 101: Using Windows on your Mac via Boot Camp ข้อจำกัดหลัก ๆ ของการใช้วิธีที่ว่านี้คือ ระบบปฏิบัติการที่แยกกันโดยเด็ดขาด การทำงานร่วมกับระหว่างสองระบบปฏิบัติการของเราเองจะค่อนข้างยุ่งยาก ไม่ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น การส่งผ่านไฟล์ข้อมูล การค้นหาข้อมูล ทำได้ไม่สะดวก ซึ่งจะส่งผลให้การย้ายค่ายมาสู่แมคโดยสมบูรณ์ทำได้ยากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการใช้ข้อมูลพื้นฐาน จำพวกที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ดูข้อมูลอ้างอิงจากอีเมล์ ระหว่างที่ต้องใช้โปรแกรมฝั่งวินโดส์ คุณข้อต้องมีข้อมูลเหล่านี้ซ้ำซ้อนอยู่บนฝั่งวินโดส์ การดูแลเพื่ออัปเดทข้อมูลซ้ำซ้อนต่าง ๆ ทำได้ไม่สะดวก และอาจจะผิดพลาดได้

วิธีที่ผมเลือกใช้เป็นวิธีที่แอปเปิ้ลไม่แนะนำ ด้วยข้อหา “performance penalty” คือวิธีที่เรียกว่า software emulation หรือโดยทั่วไปเรียกติดปากกันว่า Virtual Machines (VM) แต่จะแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้ดีกว่า เนื่องจาก ความเสี่ยงของการจำกัดระบบปฏิบัติการโดยแอปเปิ้ลจะลดลง เราก็จะสามารถใช้ Windows XP(sp2) ที่อุตสาห์ยอมเสียเงินซื้อแบบถูกลิขสิทธิ์มาไปได้อีกนานพอสมควรในกรณีของผมเอง ในขณะนี้ iMac และ MacBookAir  รุ่นประมาณปี 2010 ก็ยังสามารถทำงานในระบบนี้ได้อยู่ ทั้งหมดทั้งสิ้นถือว่าเป็นเซทอัปที่ future proof ได้ดีในระดับหนึ่ง โปรแกรมกลุ่ม VM นี้ โดยพื้นฐานแล้วก็คล้าย ๆ กับโปรแกรมบริหารพาติชั่นหรือบูธพาติชั่นที่มีความซับซ้อนขึ้นอีกระดับนั่นเอง ในการใช้งานจะไม่จำเป็นต้องมีการ reboot เพื่อเลือกฝั่งระบบปฏิบัติการ OSX จะเป็นระบบปฏิบัติการหลัก และ VM จะเป็นเหมือน app ตัวหนึ่งเพียงเท่านั้น และใน app ตัวที่ว่านี้เราสามารถลงระบบปฏิบัติการณ์อื่น ๆ ลงไปได้ตามแต่ที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็น Linux, Windows7 หรือแม้กระทั่ง OSX อื่น ๆ เท่านี้คุณก็จะสามารถใช้งานระบบปฏิบัติการต่าง ๆ เหล่านี้บนเครื่องแมคไปพร้อม ๆ กัน การแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำได้สะดวกโดยไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยว่าตอนนี้เรากำลังใช้งานอยู่บนระบบปฏิบัติการใด แต่ข้อเสียคือแต่ละระบบปฏิบัติการต้องการจองทรัพยากรไว้เป็นของตัวเองไม่ว่าจะเป็น แรม ฮาร์ดดิส หรืออาจจะลามไปถึงซีพียู ทำให้การใช้งานแมคจะไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่ได้ถูกออกแบบเอาไว้ เพราะทรัพยากรต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกจองโดยไม่มีการใช้งานเป็นเสียส่วนใหญ่ แต่ผมก็มองว่ามันก็ยังเร็วกว่าที่จะต้อง reboot เพื่อเข้าถึงข้อมูลอีกฝั่งเมื่อต้องการเป็นไหน ๆ อีกทั้งเราจะสามารถเปิดปิด VM เมื่อไม่ต้องการใช้งานได้เสมอเพื่อประหยัดทรัพยากร ไม่รวมถึงราคาของแรม ฮาร์ดดิส ที่มีแต่ลดลงเรื่อย ๆ ปัญหาเรื่องการเพิ่มทรัพยากรไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่มากนัก

โปรแกรมจำพวก VM ก็มีอยู่หลายตัวให้เลือกสรรค์ ตั้งแต่ Opensourse อย่าง Q emulator หรือ VirtualBox โปรแกรมที่ถือว่าเป็นตัวมาตรฐานในด้านความเร็วอย่าง Parallels Desktop หรือ โปรแกรมราคาถูกอย่าง VMware Fusion ที่ผมซื้อมาจาก Apple Store Thailand ในราคาเพื่อการศึกษา 1400 บาทเท่านั้น ในขณะที่ Parallels สำหรับการศึกษาจะเร่ิมประมาณ 2500 บาท ผมไม่เคยใช้ตัวอื่นแต่เท่าที่ทำงานกับ VMware มาตั้งแต่เวอร์ชั่น 3 จนวันนี้เวอร์ชั่น 4 ก็ยังไม่พบปัญหาอะไร บนระบบที่เป็น OSX Snow Leopard – VMWare Fusion3 – WindowsXP(sp2) ทั้งบน iMac และ MacBookAir เรื่อยไปจนเปลี่ยนเป็น OSX Lion – VMware Fusion4 บนทั้งสองเครื่อง ยังไม่เจอปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้นครับ ผมมีแรมทั้งหมด 4GB แบ่งกันใช้คนละครึ่งแน่นอนว่าบางทีเครื่องก็ช้าจนต้องบูธใหม่ อาการค้างเหล่านั้นก็หายไป ผมคงไม่บ่นอะไรเพราะผมใช้งานเครื่องตามที่แอปเปิ้ลเขาโม้เอาไว้คือ ผมไม่เคยปิดเครื่องเลย จะมีมาบูธใหม่บ้างก็เวลามันช้าเกินเหตุนี่แหละ

แต่อยากบอกให้รู้กันว่า VMware Fusion4 ราคาถูกไม่มีให้หาซื้อกันแล้วนะครับ ตอนนี้ราคาลดพิเศษเริ่มที่ $49.99 และไม่สามารถหาซื้อได้ที่ Apple Store Thailand หรือ AppStore ได้ คิดว่าเป็นเพราะความสามารถใหม่ ๆ ของ Fusion4 ที่นำความสามารถของ OSX Lion มาสู่โปรแกรมฝั่งวินโดส์ ไม่ว่าจะเป็น Launchpad, Mission Control และ Spotlight แต่ผมเองก็ยังไม่เคยใช้นะครับ หรือว่าใช้อยู่โดยไม่รู้ตัว อันนี้ก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ ความสามารถใหม่ ๆ เหล่านี้ ทำให้คุณใช้ชีวิตบนเครื่องแมคใหม่ของคุณได้โดยแทบไม่รู้สึกเลยว่ากำลังใช้โปรแกรมฝั่งแมคหรือฝั่งวินโดส์อยู่ และแอปเปิ้ลก็ไม่อยากเห็นอย่างนั้น ก็เลยโละออกจาก Apple Store ไปเสีย

การลงโปรแกรมและลงวินโดส์ก็ตรงไปตรงมาครับ แต่ถ้าไม่แน่ใจทาง VMware Fusion ก็มี ระบบสนับสนุน ที่สุดยอดเลยทีเดียว รายละเอียดเยอะมาก ๆ ใครอยากหาข้อมูลวิธีการติดตั้งทั้งตัวโปรแกรมและวินโดส์ก็ไปที่นั่นเลยครับ ผมคิดว่าทุกปัญหาแก้ได้ด้วยลิงค์ที่ให้ไปแน่นอนครับ ในการติดตั้งแต่ละระบบปฏิบัติการซึ่งจะถูกเรียกว่า Virtual Machine นั้น จะมีขั้นตอนให้จัดการแรมและฮาร์ดดิสของแต่ละระบบปฏิบัติการก่อนที่จะติดตั้ง ไม่ต้องเครียดครับในส่วนนี้ เพราะเมื่อใช้งานไปแล้วไม่ชอบใจก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ค่อนข้างจะอิสระเลยทีเดียว เช่นเดียวกันถ้าให้มีการแชร์ documents ร่วมกัน การใช้งานส่วนที่เป็น WindowsExploer กับ Finder ก็จะใช้ Folder ที่เรียกว่า My Document ร่วมกัน เท่าที่ผมใช้ก็สะดวกดีครับ ส่วนการใช้งานเมื่อติดตั้งโปรแกรมและวินโดส์เรียบร้อยแล้วผมก็แนะนำให้ใช้ View แบบ Fullscreen ก่อน จะได้รู้ว่าตอนนี้อยู่บนวินโดส์หรืออยู่บนแมค แบ่งหน้าจอใครหน้าจอมันไปก่อน หรือใช้ Single Window เราก็จะเห็นทุกอย่างอยุ่ในหน้าจอของวินโดส์ แต่ผมไม่ค่อยชอบแบบนี้เพราะมันจะเล็ก พอคล่อง ๆ แล้ว ก็เปลี่ยนเป็น Unity เลยครับ คราวนี้หน้าต่างของแมค วินโดส์ ก็จะบนกันอย่างอิสระอยู่ในหน้าจอของเราเลย ย้ายไปมาได้ ใช้งาน Multi Gesture ได้ ราบรื่นครับ

ไปลองกันดูนะครับ มีอะไรก็โพสมาถามกันได้ หลาย ๆ อย่างถ้าลองทำมาแล้วจะเล่าสู่กันฟังครับ